ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 302

สรุปบท ตอนที่ 302: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 302 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 302 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 302 เขาปีศาจยักษ์กับเซียวเยวี่ยไป๋
ตอนที่ 302 เขาปีศาจยักษ์กับเซียวเยวี่ยไป๋
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เทพอสูร?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ในขณะที่มนุษย์เกราะทองคำไล่ล่าเขานั้น ดูเหมือนจะพูดถึง ‘ไข่เทพอสูร’ ด้วย

เพียงแต่ตอนนั้นชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย จึงไม่ได้สนใจมัน ต่อมาภายหลังก็มีเรื่องรัดตัวมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปสนิท

“เอ๋! ศิษย์น้องไม่รู้เรื่องไข่เทพอสูรหรือ! ข้าลืมไปว่าเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรเดิมทีจะไม่ขึ้นฝั่ง ดังนั้นจึงมีคนพูดถึงเรื่องนี้ไม่มาก ความจริงเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรที่พูดถึง มีสัญญาการแอบอิงอยู่ร่วมกันระหว่างอสูรสมุทรที่แข็งแกร่งกับเผ่าพันธุ์ของเผ่าเจ้าสมุทร โดยปกติเผ่าเจ้าสมุทรจะเลี้ยงดูอสูรสมุทรเหล่านี้ด้วยโลหิตและของกินที่มันชอบ และพออสูรสมุทรเหล่านี้พบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์เผ่าเจ้าสมุทร ก็จะยื่นมือเข้าช่วย แต่ด้วยเหตุที่ว่าอสูรสมุทรเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป มันจึงแตกต่างจากอสูรสมุทรที่เผ่าเจ้าสมุทรฝึกฝนเองมาก เผ่าเจ้าสมุทรกับเทพอสูรมีสถานะเท่าเทียมกัน และเทพอสูรเหล่านี้คุ้นชินกับการอยู่ใต้ทะเลลึก พอไปจากทะเลพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นมันจึงไม่ขึ้นฝั่งโดยเด็ดขาด การที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานในครั้งนี้ พวกเราจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเทพอสูรเลย” กุยหรูฉวนอธิบายคร่าวๆ

“ในเมื่อเทพอสูรแข็งแกร่งเช่นนี้ สามเผ่าเจ้าสมุทรในอวิ๋นชวนคงมีมันไม่กี่ตนใช่ไหม!” หลิ่วหมิงถามด้วยความประหลาดใจ

“มันย่อมเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าเทพอสูรเหล่านี้ชอบทานโลหิตของผู้ที่มีสติปัญญา แม้แต่สามเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่สามารถเลี้ยงดูได้มาก ดูเหมือนว่าเผ่าเจ้าสมุทรแต่ละเผ่าจะเลี้ยงดูได้เผ่าละหนึ่งตนเท่านั้น” กุยหรูฉวนกล่าวอย่างไม่ลังเล

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

เวลาต่อมา ทั้งสองก็พูดคุยกันพักหนึ่ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็กล่าวลา และจากไป

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในห้องลับ พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กล่องหยกที่มียันต์หลายผืนปิดผนึกอยู่ก็ปรากฏออกมา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือไข่อสูรสีม่วงที่เขาได้มาจากมืออาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้น

ดูท่าไข่อสูรนี้ คงเป็นไข่ปีศาจอสูรสมุทรแปดขาที่เทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรไข่ออกมา มิน่าในตอนแรกผู้แข็งแกร่งระดับผลึกถึงตามล่าเขาไม่เลิก สาเหตุคงเป็นเพราะเหตุผลนี้สินะ

แต่กลิ่นไอของไข่อสูรอ่อนแอขนาดนี้ ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ยังคงตามเอามันไปให้ได้ ดูท่าไข่เทพอสูรนี้ จะต้องมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกเป็นอย่างมาก

หรือว่าจะสามารถทานได้โดยตรงเหมือนกับเลือดเนื้อของปีศาจทั่วไป เพื่อยกระดับการฝึกฝน หรือว่าใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงโอสถ?

หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าไข่ปีศาจอสูรโดยทั่วไป ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นไข่เทพอสูร ย่อมมีแตกต่างกันบ้าง

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น

แต่ไข่เทพอสูรนี้มีอยู่น้อยมาก คาดว่าผู้คนในแผ่นดินอวิ๋นซวนคงมีไม่กี่คนที่รู้ประโยชน์ของมัน หากอยากรู้อย่างขัดเจนล่ะก็ เกรงว่าคงต้องไปหาคนเผ่าเจ้าสมุทรถึงจะได้

หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากทำใจให้สงบแล้ว ก็คิดไตร่ตรองเล็กน้อย และปิดฝาลง

เรื่องไข่เทพอสูร ดูท่าจะรีบร้อนไม่ได้ คงต้องเก็บไว้ก่อน รอมีโอกาสค่อยว่ากัน

เรื่องที่เขาต้องทำในตอนนี้คือ ไปนิหยวนหมัวเพื่อหาโครงกระดูกปีศาจพยัคฆ์ระดับของเหลวขึ้นไป

ตามที่กุยหรูฉวนกล่าวไว้ในตอนแรก เจดีย์กักปีศาจของนิกายหยวนหมัว คงจะมีปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์อยู่ สิ่งเดียวที่เขาต้องพิจารณาก็คือ พอถึงเวลานั้นจะเอ่ยปากอย่างไร ใช้อะไรเป็นค่าตอบแทน นิกายหยวนหมัวถึงจะยอมให้คนนอกอย่างเขาเข้าไปในนั้น

หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาด้วยตาที่เป็นประกาย และตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง

……

สามเดือนต่อมา ขณะที่ทางด้านพันธมิตร เริ่มทำการคัดเลือกหกศิษย์สามแก่นนั้น ด้านหน้าประตูนิกายหยวนหมัวซึ่งเป็นนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน กลับมีเรือกลเหาะสีดำพุ่งเข้ามา

ด้านหน้าของเรือ มีชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่ที่นั่น เขากำลังมองไปยังประตูทางเข้านิกายหยวนหมัวที่อยู่ไม่ไกลด้วยท่าทีตกใจ

บนพื้นดินที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ มีเสาหินที่ดูคล้ายกับยอดเขาผุดขึ้นจากพื้น มันสูงพันกว่าจั้ง และมีหมอกดำที่ดูน่ากลัวหมุนวนตั้งแต่กลางเสาลงมา

เสาหินเหล่านี้มีจำนวนมาก จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

จุดสิ้นสุดที่สายตาหลิ่วหมิงมองเห็น เป็นเสาหินสูงค้ำฟ้า ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสั่นสะเทือนใจมาก

แต่ขณะที่เรือเหาะเดินหน้าไปได้สิบกว่าลี้ ก็มีรถเหาะสีดำสามคันเหาะเข้ามา

แต่ละคันต่างก็มีคนชุดดำสามคนถือขวานสองคมสีเงินยืนอยู่ พอเข้าใกล้เรือเหาะของหลิ่วหมิง ก็รีบมาขวางเรือเหาะเขาไว้

“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีนามว่าเยี่ยงไร? ด้านหน้าเป็นประตูทางเข้านิกายเรา หากไม่มีธุระอันใด ผู้ฝึกฝนภายนอกไม่อาจเข้าไปได้” ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนรถเหาะคันแรกรีบตั้งขวานสองคมไว้ตรงหน้าทันที จากนั้นก็โค้งตัวเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว จึงไม่ได้แสดงตัวต่ำต้อยและก็ไม่ได้แสดงตัวโอหัง

“ข้าหลิ่วหมิงจากนิกายปีศาจ ครั้งนี้มาเพื่อคารวะประมุขนิกายของพวกท่าน และมีเรื่องอยากหารือเล็กน้อย” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสหลิ่วจากนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสรอสักครู่ ข้าต้องส่งข่าวกลับไปสอบถามก่อน ถึงจะรู้ว่าควรให้ท่านเข้าไปหรือไม่!” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงย่อมไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

ชายหนุ่มชุดดำรีบหยิบแผ่นค่ายกลออกมาจากเอว มือข้างหนึ่งทำท่ามือแล้ววาดลงบนนั้น

ตอนแรกหลิ่วหมิงก็ไม่ได้สนใจ แต่หลังจากมองดูอย่างละเอียด กลับต้องสูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น!

“นี่คือ……”

“เฮ่อๆ! ผู้อาวุโสมองออกแล้ว ว่ากันว่าในสมัยบรรพกาล เขาปีศาจยักษ์นี้เกิดจากการที่หลายเผ่าร่วมมือกันสังหารหัวปีศาจยักษ์ตนนั้น แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่เขาลูกนี้ยังมีไอปีศาจอยู่ มันเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ใช้ฝึกฝนเส้นทางสายปีศาจของนิกายเรา” ในที่สุดชายหนุ่มชุดดำก็กล่าวอย่างภูมิใจ

“ที่แท้ก็กลายร่างมาจากหัวปีศาจยักษ์ มิน่าถึงได้แผ่ไอปีศาจอันน่าตกใจเช่นนี้” หลิ่วหมิงมองดูไอดำบางๆ ที่ลอยอยู่เหนือยอดเขายักษ์ แม้จะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของชายหนุ่ม แต่ก็ระงับความรู้สึกตกใจไว้ และกล่าวออกไป

หากตัดเอาสิ่งก่อสร้างกับต้นไม้บนเขายักษ์ออก มันคงจะดูคล้ายหัวกระโหลกยักษ์เป็นอย่างมาก

พริบตาเดียว เรือกลเหาะก็มาถึงพื้นที่ราบเรียบตรงไหล่เขา หลิ่วหมิงและชายหนุ่มกระโดดลงบนนั้น

ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า เดินเข้ามาต้อนรับ

“ศิษย์คารวะอาจารย์อาเซียว!” พอชายหนุ่มเห็นชายฉกรรจ์ ก็รีบโค้งคารวะแล้วกล่าวออกมา

“เป็นสหายหลิ่วจริงๆ ด้วย ข้าน้อยเซียวเยวี่ยไป๋” ชายฉกรรจ์ไม่ได้สนใจชายหนุ่ม แต่กลับกุมมือกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นพี่เซียว สหายรู้จักข้าน้อยด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความประหลาดใจ

“ฮ่าๆ! ไม่ขอปิดบังสหายหลิ่ว ข้าน้อยเป็นหนึ่งในกองกำลังสนับสนุนของนิกายหยวนหมัวที่ไปช่วยนิกายในแคว้นต้าเสวียนในตอนนั้น เพียงแต่ข้าน้อยรับผิดชอบในเรื่องของค่ายกล จึงปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก ไม่แปลกที่สหายหลิ่วจะไม่รู้จัก แต่ชื่อเสียงของสหายที่เคยสังหารอาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางของเผ่าเจ้าสมุทร และทำลายเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทรไปไม่น้อย ทำให้ข้าน้อยอยากรู้จักท่านตั้งนานแล้ว” เซียวเยวี่ยไป๋ได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะและกล่าวออกมา

“สหายพูดตลกแล้ว ชื่อเสียงนี้ข้าได้มาเพราะความโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สหายมานิกายหยวนหมัวครั้งนี้ จะต้องพักอยู่หลายวันหน่อย ตอนนี้ข้าจะพาท่านไปพบท่านประมุข ตันกาน ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ!” เซียวเยวี่ยไป๋พยักหน้า และสั่งชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง

“ทราบ! ศิษย์ขอลา!” ชายหนุ่มที่ชื่อตันกานผู้นี้โค้งตัวคารวะ และถอยออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็หมุนตัวทะยานขึ้นฟ้าไป

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเงาร่างของชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไป

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา