“ดีมาก! ตอนนี้ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากให้เจ้าพิสูจน์สักหน่อย เจ้าดื่มสุราจิตวิญญาณนี้ซะ จากนั้นมันจะทำให้เจ้าตกอยู่ในดินแดนแห่งความเพ้อฝันชั่วคราว แต่พรุ่งนี้เช้าก็จะตื่นขึ้นมาเอง” คนในโลงศพกล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นฝาโลงสีดำก็เปิดออกมา สุราที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกลอยออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าตันกาน
ชายหนุ่มรับถ้วยสุราไว้ หลังจากกวาดตามองทีหนึ่ง ก็พบว่าสุราในถ้วยนี้เข้มข้นและมีสีเขียวอ่อน มันส่งกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นออกมา เขาแสดงสีหน้าลังเลอย่างอดไม่ได้
“สุราจิตวิญญาณนี้แฝงไปด้วยพลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ มีประโยชน์ต่อร่างกายของเจ้ามาก เจ้ารีบดื่มมันเข้าไปซะ รอมันสำแดงฤทธิ์แล้ว กลับไปก็รีบกลั่นมันสักรอบ ถึงจะกลั่นพลังโอสถในสุราออกมาหมดได้” ชายในโลงศพกล่าว
แม้ว่าน้ำเสียงของชายในโลงจะดูใจร้อนเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ขณะเดียวกัน พอนึกถึงเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามบ่มเพาะตนเองมานานหลายปี ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองคิดมากไปเอง
ด้วยระดับความสามารถเหนือชั้นของอาจารย์ปู่ หากคิดไม่ดีกับตนเองจริงๆ ล่ะก็ ทำไมต้องใช้สุราโอสถจัดการด้วยเล่า อีกอย่าง แต่ก่อนเขาก็เคยมอบโอสถมหัศจรรย์ให้โดยไม่มีมูลเหตุก็หลายครั้ง
พอตันกานคิดได้เช่นนี้ ก็กล่าวขอบคุณแล้วดื่มสุราในถ้วยลงไป ท่ามกลางกลิ่นที่หอมฟุ้งเต็มปาก ความอบอุ่นที่ซาบซ่านก็พวยพุ่งออกมาบริเวณหน้าท้อง และกลายเป็นพลังเวทย์บริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
สุราโอสถนี้มีผลในการเพิ่มพลังเวทย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
พอชายหนุ่มสัมผัสได้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และไม่มีข้อข้องใจใดๆ อีกเลย
ขณะนั้นเอง พลันมีไอดำพุ่งออกจากโลงไม้ หลังจากพวยพุ่งเกาะตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นใบหน้าพร่ามัวสีดำ ลูกตาสีเขียวปรากฏอยู่ในเบ้าตาทั้งสอง
พอตันกานสบตากับดวงตาสีเขียว แสงสีเขียวก็เปล่งประกายตรงหน้า ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้นในจิตรับรู้ และสีหน้าของเขาก็ดูเซื่องซึมขึ้นมา
ขณะนั้นเอง ใบหน้าสีดำก็ร่ายคาถาด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ และกลายร่างเป็นกลุ่มไอดำพุ่งเข้าร่างชายหนุ่ม
เสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นในวิหาร
เช้าวันที่สอง ‘ตันกาน’ เดินออกจากวิหารราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลย
ในขณะเดียวกัน โลงไม้สีดำในวิหารกลับเงียบสงบไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
……
ในขณะเดียวกัน ในวิหารหารือเรื่องต่างๆ บนเขาปีศาจยักษ์ ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกับเซียวเยวี่ยไป๋กำลังพูดคุยเรื่องหลิ่วหมิงกันอยู่
“อย่างนี้ก็แสดงว่า ร่างกายหลิ่วหมิงแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และเขาก็เป็นผู้ฝึกฝนร่างคนหนึ่งเช่นกัน” ประมุขนิกายหยวนหมัวฟังเซียวเยวี่ยไป๋เล่าจบ ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถพิชิตพลังสังหารที่ศิษย์น้องกวนเรียกออกมาได้” เซียวเยวี่ยไป๋ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม! แม้ศิษย์น้องกวนจะไม่ใช่ร่างฝึกที่แท้จริง แต่กลับฝึกฝนสายร่างฝึกอยู่บ้าง บวกกับที่ได้พบโชคเมื่อหลายปีก่อน ร่างกายจึงแข็งแกร่งกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเทพปีศาจสังหารที่เขาเรียกออกมา ก็มีชื่อเสียงในเรื่องของความแข็งแกร่ง เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกหลิ่วหมิงใช้พลังโจมตีจนพ่ายแพ้ เกรงว่าเขาคงไม่ใช่ผู้ฝึกร่างธรรมดา” ชายชุดคลุมสีดำค่อยๆ กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ความหมายของศิษย์พี่ท่านประมุขคือ ร่างฝึกของหลิ่วหมิง ก็อยู่ในระดับเหนือชั้นเช่นกัน!” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เวลาที่เขาลงมือ สามารถเรียกมังกรหมอกดำออกจากร่างได้ด้วย! นี่คือเคล็ดวิชาอะไร! นิกายปีศาจมีวิชานี้ด้วยหรือ?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“อันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน แต่หากศิษย์พี่อยากรู้ล่ะก็ ข้าสามารถใช้เวลาไปตรวจสอบได้ แต่ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกสนใจมุกกลมที่เขานำออกมาในตอนท้ายมากกว่า วิชาหิมะบินของหานหลีได้ฝึกฝนสำเร็จในขั้นกลางแล้ว ภายใต้การกระตุ้นด้วยพลังทั้งหมด อานุภาพของมันจะแข็งแกร่งมาก แม้แต่ข้าก็ไม่กล้ายืนรับอยู่กับที่ แต่หลิ่วหมิงใช้อาวุธจิตวิญญาณเพียงชิ้นเดียว ก็สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงโดยทั่วไป ไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้!” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวด้วยความแปลกใจ
“ช่างเถอะ! แม้พลังของเขาจะมหัศจรรย์อยู่บ้าง แต่นิกายไหนก็มีเคล็ดวิชาพิเศษที่น้อยคนจะรู้จัก ส่วนอาวุธจิตวิญญาณที่เขาใช้นั้น ยิ่งมีอานุภาพมากก็ยิ่งดี ถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสสำเร็จห้าในสิบส่วนที่เคยพูดไว้ในก่อนหน้า ตอนนี้คงจะเพิ่มเป็นหกถึงเจ็ดส่วนแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนิกายเรา” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่เรื่องจัดการปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายตนนั้น ไม่เหมือนกับปีศาจอสูรโดยทั่วไป ยังต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้เขาทราบก่อนเล็กน้อย หากเขารู้เรื่องนี้แล้ว อาจจะมีโอกาสทำสำเร็จมากขึ้น” เซียวเยวี่ยไป๋พยักหน้า และกล่าวออกมา
“เรื่องนี้ไม่ต้อง ต่อให้เขาจะรู้เรื่องนี้ ก็มีประโยชน์ไม่มากนัก ในทางตรงกันข้ามอาจจะหวาดกลัว จนเปลี่ยนใจไม่ยอมเข้าเจดีย์กักปีศาจก็เป็นได้ หากเขารอดชีวิตออกจากเจดีย์มาได้ พวกเราก็แก้ต่างว่า ไม่รู้เรื่องที่ปีศาจอสรพิษตนนี้ ถูกไอปีศาจแทรกซึมจนกลายเป็นปีศาจอสรพิษก็พอแล้ว พอถึงเวลานั้น อย่างมากก็แค่เพิ่มผลประโยชน์ให้เขามากหน่อยก็พอ ส่วนทางด้านหานหลี สิ่งของที่ใช้สยบปีศาจอสูรจะต้องตระเตรียมให้พร้อม หากว่าพอถึงเวลานั้น ปีศาจอสรพิษมีพลังแข็งแกร่งเหนือความคาดหมายล่ะก็ จะได้รับรองว่าศิษย์น้องหานกลับมาอย่างปลอดภัย” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำส่ายหน้า และกล่าวออกมา
เซียวเยวี่ยไป๋ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
……
ในระยะเวลาครึ่งเดือนที่เหลือ นอกจากจะมีเซียวเยวี่ยไป๋ที่มาเยี่ยมเยียนครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นมายังที่พักหลิ่วหมิวอีกเลย
วันนี้ ขณะที่เขากำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนชั้นสอง พลันมีลูกเปลวไฟสีแดงลอยเข้ามาทางหน้าต่าง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที เขาโบกมือข้างหนึ่งออกไป ทันนั้นก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ลูกเปลวไฟระเบิดตัวกลายเป็นแสงสีแดง ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงพูดปนหัวเราะของเซียวเยวี่ยไป๋ดังออกมาจากในนั้น
“สหายหลิ่ว มาที่วิหารใหญ่ของนิกายเราได้แล้ว อีกไม่นานเจดีย์กักปีศาจจะถูกเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ลุกขึ้นด้วยความดีใจ เขากลายร่างเป็นไอดำพุ่งออกไปทางหน้าต่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา