แน่นอนว่าย่อมมีผู้ถูกชิงร่างสำเร็จเช่นกัน แม้ตอนนั้นจะถูกชิงไม่สำเร็จ แต่ต่อมากลับได้รับผลกระทบจากพลังจิตของผู้ชิงร่างที่หลงเหลืออยู่ จนเป็นบ้าและเสียชีวิตไป
ตอนนี้ เขาได้รับความทรงจำเรื่องอักขระโบราณจากผู้ชิงร่าง ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงที่มาของอักขระสีม่วงโบราณนี้อย่างละเอียด กลับดูคลุมเครือเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงไม่ยอมพลาดโอกาสอันดีตรงหน้าไปแน่นอน เขาจ้องมองเกล็ดบนบาทายักษ์โดยไม่กระพริบตา
ขณะนี้ เขาถึงค้นพบว่า เกล็ดแผ่นนี้ใหญ่กว่าเกล็ดบริเวณใกล้เคียงเท่าตัวขึ้นไป และดำกว่าเล็กน้อย
เขาจ้องมองอยู่เช่นนี้ จนเวลาผ่านไปหนึ่งมื้อข้าว อักขระโบราณสีม่วงก็กระพริบออกมา มันคืออักขระตัวเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่ยังคงจ้องมองเกล็ดโดยไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปซักระยะ เมื่ออักขระสีม่วงโบราณปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาก็เปล่งพยางค์เสียงคลุมเครือที่เข้าใจยากออกมา
“ฟู่!”
อักขระสีม่วงโบราณที่เพิ่งปรากฏออกมา หยุดนิ่งอยู่บนเกล็ด ขณะเดียวกัน ก็มีลำแสงจางๆ พร่ามัวบนพื้นที่ว่างเปล่าเหนือเกล็ด อักขระสีม่วงโบราณอีกตัวที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ หดรูม่านตาลง แต่กลับเปล่งภาษาโบราณออกมาอย่างไม่ลังเล
อักขระสีม่วงโบราณตัวที่สองหยุดนิ่งอยู่เหนือเกล็ดเช่นกัน อักขระสีม่วงโบราณตัวที่สามตามออกมาติดๆ……
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เมื่ออักขระแต่ละตัวปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็รีบร่ายคาถาขึ้นมา
ไม่นาน อักขระสีม่วงโบราณเก้าตัวก็เรียงอยู่บนเกล็ดไม่ขยับเขยื้อน แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นอีก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็อ้าปากอ่านอักขระทั้งเก้าตัวออกมาในอึดใจเดียว ดูเหมือนมันจะเป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง
“เพล้ง!”
พอเขาอ่านพยางค์สุดท้ายจบ อักขระสีม่วงโบราณทั้งเก้าตัวก็สลายไปพร้อมกัน แต่กลับมีเสียงดังมาจากบาทายักษ์ตรงหน้าเบาๆ
แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้หัวใจหลิ่วหมิงเต้นตามจังหวะของมัน
หลิ่วหมิงรีบถอยออกไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ
แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงมาจากบาทายักษ์ ซึ่งดูเหมือนจะดังกว่าเมื่อครู่
และหัวใจหลิ่วหมิงก็เต้นตาม
ครั้งนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
มีเสียงดังออกจากบาทายักษ์ และยิ่งดังและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีหัวใจแข็งแกร่งดวงหนึ่งค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียง “ตึกตัก!” ดังก้องไปทั่วแท่นบูชา
หลิ่วหมิงเอามือแนบอกด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้หัวใจของเขา เต้นตามจังหวะเสียงที่ดังมาจากบาทายักษ์ แม้ว่าจะกระตุ้นพลังเวทย์ควบคุมอย่างสุดฤทธิ์ ก็ได้ผลไม่มากนัก
ขณะนี้ ทุกครั้งที่หัวใจเขาเต้น ล้วนทำให้โลหิตพวยพุ่งขึ้นมา และรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างไม่ลังเล และพุ่งออกไปจากแท่นบูชา
แม้เขาไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับบาทายักษ์ แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ควรอยู่ห่างไว้จะดีที่สุด
แต่ขณะนั้นเอง เสียงที่ดังมาจากบายักษ์ก็หยุดลงโดยฉับพลัน จากนั้นไหมสีเงินจำนวนมากก็ปรากฏออกมาจากเกล็ดสีดำแผ่นนั้น พอมันรวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นดวงตาสีเงินขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง ดวงตานี้จ้องมองหลิ่วหมิง และเปล่งประกายแสงสีเงินออกมา
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศรอบด้านหนาแน่นขึ้น แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวออกจากหลัง พริบตาเดียวก็ดึงร่างของเขากลับไป
สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
พอเขาหันหน้ากลับไป ก็พบว่าบนเกล็ดมีดวงตาสีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจมากกว่าเดิม
เขาตะโกนออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก พอมือทั้งสองกำแน่น ร่างของเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา จากนั้นร่างของเขาก็หยุดชะงักลง พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่สั้นสีทองก็ปรากฏออกมา และฟันออกไปด้านหลังอย่างรุนแรง
“ฉับ!”
พอแสงสีทองเปล่งประกายออกมา พลังไร้รูปก็ถูกฟันจนขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา