ระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงก็เคยพยายามใช้พลังจิตติดต่อกับมัน แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองกลับมาเลย
ต่อมาเขาใช้จิตกวาดดูในถุงหนัง ถึงค้นพบว่าหัวปีศาจตนนี้ เพียงแค่หลับสนิทไปเท่านั้น และไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาจึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
เพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เคยเกิดขึ้นกับแมงป่องกระดูกหลายครั้ง
ครั้งนี้กลับมีเสียงดัง “หวึ่งๆ” มาจากถุงหนัง ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และแสดงสีหน้าเบิกบานใจโดยไม่รู้ตัว
หลิ่วหมิงเลิกให้ความสนใจกับการถูของเหลวจิตวิญญาณบนตัว และตบลงบนถุงหนังทันที
กลุ่มแสงสีดำพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังขึ้น ศีรษะผู้ชายที่มีผมสีเขียวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มันคือหัวบินที่หลับไปเกือบสองปีนั่นเอง!
เพียงแต่ตอนนี้ ร่างของมันมีไอดำจางๆ ปรากฏออกมา
พริบตาที่หัวบินปรากฏออกมา ทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ สั่นไหว
ซึ่งเหมือนกับตอนที่เข้านิกายหยวนหมัวครั้งแรก และเดินผ่านเขาปีศาจยักษ์ที่กลายร่างมาจากหัวปีศาจในสมัยบรรพกาลตนนั้น
แม้มันจะเกิดขึ้นแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อเขาสงบจิต และสังเกตดูหัวบินแล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
อย่างที่รู้ว่า ตอนที่ได้หัวปีศาจตนนี้จากการทดสอบความเป็นความตายนั้น หลิ่วหมิงใช้พลังจิตสื่อสารกับมัน ก็รู้ว่าแต่เดิมมันเป็นหัวปีศาจระดับสี่ และมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นนั่นเอง
สมัยก่อนมันต่อสู้กับศัตรูจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นระดับของมันก็ร่วงลงมาอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย
เพื่อที่จะค่อยๆ ทำให้มันฟื้นกลับมาที่ระดับของเหลว กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ได้ผนึกมันมาโดยตลอด โดยไม่ปล่อยมันออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ก่อนการประลองใหญ่ของนิกาย ก็ได้ทุ่มอย่างสุดตัว เพื่อที่จะกอบกู้ตำแหน่งของสาขาเก้าทารกในนิกาย จึงได้มอบโซ่สยบปีศาจที่ทำมาจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกให้กับศิษย์พี่สือชวน
ตอนที่หลิ่วหมิงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับของเหลว หัวบินก็ทำการต่อสู้กับศัตรูได้อย่างดีเยี่ยม อีกอย่างด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนั้น ก็ไม่เคยค้นพบอะไรที่ไม่เหมาะสม
พลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของหัวบิน ออกจะมีอุปสรรคเล็กน้อยสำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้
แต่หลิ่วหมิงก็ยังรอคอยพลังที่มีศักยภาพในอนาคตของมันมาโดยตลอด
ติดอยู่ที่ผลึกปีศาจที่สามารถช่วยมันฟื้นคืนได้นั้น หาได้ยากมาก แม้ว่าผลึกปีศาจที่ได้มาจากนิกายหยวนหมัว จะถูกหัวปีศาจกลืนกินไปหมดแล้ว แต่หลิ่วหมิงยังไม่ค่อยมั่นใจว่า จะสามารถฟื้นฟูระดับของหัวบินได้
กลิ่นไอที่หัวบินแผ่ออกมาในตอนนี้เป็นของระดับของเหลวที่แท้จริง ทั้งยังดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ขั้นต้นด้วย
นี่ก็สามารถพูดได้ว่า อาการบาดเจ็บที่มันได้รับในก่อนหน้านั้น ได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นหัวปีศาจระดับสี่ที่แท้จริง แล้วจะไม่ให้หลิ่วหมิงดีใจได้อย่างไร
ขณะนั้นเอง มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วๆ มาจากอากาศที่อยู่ไกลๆ
แม้เขาจะอยู่ในส่วนลึกของไหล่เขา แต่เสียงนี้ดูไม่เหมือนเสียงฝนตกฟ้าร้องทั่วไป
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พอแหงนหน้าขึ้น กลับพบว่ามีเปลวเพลิงสีแดงลุกไหม้อยู่ในดวงตาของหัวปีศาจ มันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา และเปลี่ยนเป็นสีหน้าดุร้ายในทันที
“ดูท่าคงถึงคราวโชคดีของเจ้าแล้ว คงเป็นผลลัพธ์จากการกลืนกินขี้เถ้าของบาทาปีศาจยักษ์สินะ”
หลิ่วหมิงใช้จิตสื่อสารกับหัวบิน หลังจากได้รับการตอบรับแล้ว ความหวาดระแวงก็หายไปจนหมดสิ้น สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอในคัมภีร์ว่า ปีศาจอสูรบางชนิดก็สามารถบรรลุขั้นได้เหมือนมนุษย์
เดิมทีการฝึกฝนก็ต้องฝืนชะตาฟ้า ถึงจะรอดจากปากเหยี่ยวปากกาได้
และพวกภูตผีปีศาจฝึกฝนยากลำยากกว่ามนุษย์มาก และจะนำมาซึ่งด่านเคราะห์ สวรรค์เมื่อพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุขั้น
และด่านเคราะห์สายฟ้าเป็นสิ่งที่พบเจอได้บ่อยมาก
เป็นถึงการทดสอบจากฟ้า คนรอบข้างไม่อาจยื่นมือช่วยได้
แต่เขาสามารถวางค่ายกล และปกป้องมันในขณะผ่านด่านได้บ้างเล็กน้อย
“ไป!”
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขากลายป็นลำแสงสีขาวพุ่งออกไปทางปากถ้ำ หัวบินที่อยู่ด้านหลังก็ตามติดออกไป
คิดจะหลบสายฟ้าสวรรค์อยู่ในไหล่เขาเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ถ้ำจะถูกทำลายโดยสายฟ้าสวรรค์เท่านั้น ห้องหินก็แคบเกิน ไม่เหมาะกับการผ่านด่านเคราะห์ของหัวบิน
ไม่นาน หลิ่วหมิงกับหัวบินก็มาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างราบเรียบแห่งหนึ่ง
พายุพัดกระหน่ำกลางอากาศ มีเมฆดำปรากฏอยู่เหนือถ้ำ สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในก้อนเมฆ ราวกับว่าจะฟาดฟันลงมาได้ทุกเมื่อ
หลิ่วหมิงหยิบธงค่ายกลออกจากยันต์เก็บของโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากปักลงรอบๆ บริเวณที่หัวบินอยู่แล้ว ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นธงค่ายกลก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา