ท่ามกลางหุบเขาที่ดูไม่เตะตาในเขาไร้นามแห่งหนึ่ง เทียบกับสถานที่อื่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นกว่าเล็กน้อย
ภายในห้องหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวเจ็ดแปดจั้งที่อยู่ตรงส่วนลึกของหุบเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกพุ่งขึ้นจากพื้น ทำให้อุณหภูมิในห้องดูเหมือนจะเย็นกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย
ใจกลางพื้น ศีรษะที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึก ตั้งตรงอยู่ในทรายละเอียด
และทรายละเอียดสีดำแดงที่อยู่รอบด้าน ล้วนเปล่งแสงแวววาว ภายในเม็ดทรายแต่ละเม็ดมีไอดำค่อยๆ หมุนวนอยู่ ทำให้เกิดเป็นคลื่นแสงบนพื้นทรายเป็นระลอกๆ เพิ่มสีสันให้กับห้องหินอย่างน่าประหลาดใจ
ทรายละเอียดท่วมไปถึงต้นคอ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และหายใจตามจังหวะของไอเย็นยะเยือกที่พุ่งขึ้นมา
แม้ในห้องจะเย็นถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นตรงหน้าผาก และเมื่อเวลาผ่านไป การแสดงออกบนใบหน้ากลับดูดิ้นรนขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อไอเย็นสะท้านบนห้องหินบิดเบี้ยวขึ้นมา ก็มีเสียงคำรามดังขึ้น หลังจากนั้น เงาร่างคนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นจากพื้นทรายสีดำแดง “ฟู่!”
ร่างส่วนบนของเขาเปลือยเปล่า ภายใต้การแช่เม็ดทรายละเอียดเป็นเวลานาน ทำให้ปรากฏชั้นสีดำแดงออกมา ไอเย็นสะท้านยังคงพุ่งออกมา พอเขายกแขนขึ้น หยดวารีใสแจ๋วก็ร่วงลงจากอากาศ มันชำระทรายละเอียด และของเหลวที่หลงเหลืออยู่บนตัวจนหมดสิ้น
“ในที่สุดก็ได้เวลาสี่ชั่วยามแล้ว สามารถเริ่มต้นอีกครั้งได้แล้ว”
หลิ่วหมิงแหงนหน้า และถอนหายใจออกมา พอยืดเส้นยืดสาย ก็ได้ยินเสียงเอ็นและกระดูกดัง “เปรี๊ยะๆ!”
ดูจากเงาร่างแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนเข้าหุบเขา ตอนนี้ดูแข็งแกร่งขึ้นมามาก
จากนั้น เขาเขาก็โยนสิ่งของบางอย่างไปในอากาศ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือ ลูกแสงกลมๆ สีส้มสองลูกพร่ามัวขึ้นมา หลังจากมีดังครอกแครก! หุ่นอสูรวานรเหล็กสีส้มสองตัวที่มีขนาดใหญ่สองจั้ง ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
พอหลิ่วหมิงสะบัดมืออีกครั้ง ผลึกหินสีเหลืองสองก้อน ก็พุ่งไปฝังอยู่ตรงรอยเว้าบริเวณหน้าอกของหุ่นอสูรพอดี
“ฮึ่ม!”
“ฟู่!”
จากนั้นก็มีเสียงคำรามทุ้มต่ำดังออกมา แสงสีแดงเปล่งประกายขึ้นในดวงตาของหุ่นอสูร หลังจากม้วนตัวกลางอากาศรอบหนึ่งแล้ว ก็หล่นลงมาตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง จนทำให้ทรายละเอียดกระเด็นขึ้นมา ดวงตาของหุ่นอสูรวานรเผยแววดุร้ายออกมา และในปากก็มีคมเขี้ยวปรากฏอยู่อย่างหนาแน่น
หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตรงเอวอย่างไม่ลังเล พอแสงสว่างม้วนตัวออกไป แมงป่องกระดูกที่มีเกล็ดสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วปกคลุมไปทั่วร่าง ก็ปรากฏออกมาตรงหน้า
แมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องประหลาดออกมา หลิ่วหมิงไม่ต้องสั่ง มันก็กระโดดไปอยู่ตรงกลางหุ่นอสูรทั้งสอง และสะบัด ‘หัวอสรพิษ’ ที่อยู่ตรงหลัง ด้วยอารมณ์คึกคักอยากจะลองโจมตีดู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยนิ้วทั้งห้า ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่าง และค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเขาไม่หยุด ความรู้สึกคันค่อยๆ เกิดขึ้นทั่วร่าง แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา เกล็ดสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวโผล่ขึ้นมาบนผิวหนัง และขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนมีขนาดสองชุ่น มันปกคลุมไปทั่วร่างของเขา
หลิ่วหมิงกำมือทั้งสองลงด้านล่างอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศสองที ไอหมอกสีมืดครึ้มพุ่งออกจากร่าง และแยกเป็นสองสายทันที มันกลายเป็นมังกรดำกับพยัคฆ์ขนาดใหญ่ และกระโจนเข้าหากันราวกับเป็นของจริง
จากนั้นก็มีเสียงมังกรกับเสียงพยัคฆ์คำรามออกมา มันหดตัวกลับมาหาหลิ่วหมิง คิดไม่ถึงว่ามันจะหมุนวนตัดสลับกันไปมาอยู่บนร่างของเขาราวกับมีชีวิต
จากนั้น หลิ่วหมิงก็ใช้จิตสัมผัสกับแมงป่องกระดูก ขณะเดียวกันก็ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังทำท่ามือด้วยมือเดียว สั่งให้วานรเหล็กทั้งสองตัวทำการโจมตี
แมงป่องกระดูกรับคำสั่ง และกระโดดตัวขึ้นมาทันที มันส่งเสียงร้องประหลาด “แกว๊กๆ!” พร้อมกับสะบัด ‘หัวอสรพิษ’ ตรงหลังจนดูพร่ามัว เงาดำจำนวนมากโจมตีลงบนร่างหลิ่วหมิง แต่ก็ต้องระเบิดออกมา
หลังจากแมงป่องกระดูกผ่านด่านเคราะห์สายฟ้าสวรรค์แล้ว พลังของมันก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้น บวกกับตอนที่ผ่านด่านเคราะห์ ได้กลืนกินชิ้นส่วนของมังกรแดงระดับผลึกไป การโจมตีของมันจึงแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปจะสามารถรับได้
และภายใต้การต่อต้านของเกล็ดที่อยู่มีทั่วร่างกับเคล็ดวิชากระดูกดำ และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้ร่างกายของหลิ่วหมิงแข็งกว่าผู้ฝึกร่างระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไปมาก เมื่อเทียบกันแล้ว การป้องกันของหลิ่วหมิงจะเหนือกว่าชั้นหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ แม้การโจมตีของ ‘หัวอสรพิษ’ ของแมงป่องกระดูกจะรวดเร็วจนน่าตกใจ และเสียงที่ระเบิดออกมากลางอากาศก็ดังอยู่ไม่ขาดสาย แต่นอกจากมันจะทิ้งจุดขาวๆ กับเสียงดังเต๊งๆ! บนเกล็ดทั่วตัวหลิ่วหมิงแล้ว ก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้ แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงต้องแสยะปากให้กับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของมัน ราวกับว่ารับมือได้ยากนัก
และในขณะเดียวกัน หุ่นอสูรวานรเหล็กสองตัว ก็เหมือนจะควักกระบองยาวสองจั้งออกมาอย่างไม่ลังเล กระบองเหล็กในมือตีใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง และส่งเสียงดัง “อู้ๆ!” อยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงกำมือทั้งสองไว้แน่น เขายังคงยืนอยู่ตรงกลางเป็นเวลานาน ไม่ว่าแมงป่องกระดูกกับหุ่นอสูรวานรเหล็กจะทำการโจมตีเขาแค่ไหน เขาก็ทำเสียงอู้อี้อยู่ไม่หยุด มังกรพยัคฆ์บนตัวก็หมุนวนไม่หยุดเช่นกัน เอ็นใต้เกล็ดตรงหน้าผากและมือทั้งสองนูนขึ้นมา และมีเหงื่อผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าเขาดูทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา