ขณะนี้ ชายหนุ่มใบหน้าธรรมดา สวมชุดคลุมสีดำ กำลังเดินเตร่อยู่บนถนนหินในหุบเขา และสังเกตดูร้านค้าทั้งสองข้างทางไปด้วย
เขาคือหลิ่วหมิงที่ออกมาจากนิกายปีศาจนั่นเอง
หลังรู้เรื่องตลาดชินโจวจากกุยหรูฉวนแล้ว หลิ่วหมิงก็มุ่งตรงมาสถานที่แห่งนี้
จะว่าไปแล้ว เป็นถึงหนึ่งในสามตลาดใหญ่ที่แต่ละนิกายร่วมกันสร้างขึ้น เทียบกับตลาดเว่ยโจวในตอนนั้นแล้ว ตลาดชินโจวก็เป็นตลาดที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอวิ๋นชวน
นี่เป็นเพราะว่าเทือกเขาที่ตั้งของตลาดชินโจวติดกับพื้นที่ภายในอวิ๋นชวน และเนื่องการทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรในหลายปีมานี้ ถูกเผ่าเจ้าสมุทรบีบบังคับ จนนิกายในแผ่นดินอวิ๋นชวนรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อต่อต้านศัตรู จึงได้ก่อตั้งพันธมิตรอวิ๋นชวนขึ้น และแต่ละนิกายก็ไม่ได้เป็นปรปักษ์กันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ดังนั้นมักจะมีผู้ฝึกฝนในแผ่นดินอวิ๋นชวนมาทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของในตลาดชินโจวอยู่บ่อยๆ พวกเขานำมาซึ่งสิ่งของพิเศษที่ไม่มีในแคว้นต้าเสวียน ดึงดูดให้ผู้ฝึกฝนอิสระและตระกูลที่มีชื่อเสียงเข้ามาเป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้จึงคึกคักอย่างถึงขีดสุด
ตลาดชินโจวตั้งอยู่กลางหุบเขา มีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ มีเป็นหอหลายชั้นและบ้านหลังเล็กๆ ตัดสลับกัน โรงเตี๊ยมที่พักก็มีเพียบพร้อม
แม้จะบอกว่าทั้งห้านิกายร่วมกันสร้างขึ้นมา แต่เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับหุบเขาเก้าช่องมากที่สุด ดังนั้นครึ่งหนึ่งของตลาดแห่งนี้ จึงถูกดูแลโดยศิษย์หุบเขาเก้าช่อง อีกครึ่งหนึ่งก็ปล่อยเช่าให้กับตระกูลที่ทำการค้า และผู้ฝึกฝนอิสระ
หลายวันก่อน หลังจากร่อนลงมาในสถานที่แห่งนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่ได้เข้าไปในหุบเขาทันที แต่กลับเปลี่ยนชุดคลุมยาวสีดำ และเก็บสิ่งของติดตัวที่ทำให้มองออกว่ามาจากนิกายปีศาจเข้าไปทั้งหมด ทำให้เขาดูเป็นผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไป จากนั้นถึงเข้ามาในตลาด
ตอนนี้หลิ่วหมิงนำหนัง และคมเขี้ยวของมารอสรพิษ ที่ได้มาจากเจดีย์กักปีศาจในนิกายหยวนหมัว มาแบ่งขายตามร้านค้าต่างๆ และแลกหินจิตวิญญาณมาประมาณห้าหกหมื่นหินจิตวิญญาณ
แม้หนังของมารอสรพิษ จะเป็นชิ้นส่วนจากร่างปีศาจระดับของเหลวขั้นปลาย ซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีในการทำเกราะอ่อน แต่เทียบกับเกราะหนังมังกรแดงที่หลิ่วหมิงมีอยู่ไม่ได้เลย และเนื่องจากคมเขี้ยวของมารอสรพิษ มีไม่ค่อยมาก บวกกับที่หลิ่วหมิงมีอาวุธจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติไม่เลวอยู่สองสามชิ้น ดังนั้นหลังจากเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว ก็ขายมันออกไปทั้งหมด
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในขณะที่เถ้าแก่หลายร้านมองเห็นสิ่งของที่หลิ่วหมิงนำออกมา สายตาที่ร้อนผะผ่าวของพวกเขา ก็บ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก
เพราะในแผ่นดินอวิ๋นชวน มีปีศาจระดับของเหลวไม่ค่อยมาก นับประสาอะไรกับระดับของเหลวขั้นปลายที่เข้าใกล้ระดับผลึกล่ะ
ส่วนลูกตาขนาดเท่ากำปั้นของมารอสรพิษ ก็มอบให้กับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับของเหลวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในตลาด ให้เขาปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ‘โอสถเบญจโรจน์’
ในขณะที่เรียนปรุงโอสถอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน เขาเคยเห็นฝานไป๋จื่อปรุงโอสถนี้ เขาบอกว่าต้องใช้ลูกตาของปีศาจอสูรประเภทอสรพิษเป็นวัตถุดิบหลัก
โอสถชนิดนี้ถือเป็นโอสถระดับกลาง รับประทานแล้วทำให้ดวงตาแจ่มชัด จิตใจปลอดโปร่ง สามารถมองทะลุหมอกหนาทึบในระยะหลายจั้งได้ มีผลดีต่อการทำลายค่ายกลและภาพลวงตาเป็นอย่างมาก
แม้ว่าการรับประทานลูกตาของอสรพิษที่มาจากมารอสรพิษระดับของเหลวขั้นปลายสดๆ จะมีผลทำให้ดวงตาแจ่มชัด จิตใจปลอดโปร่งเล็กน้อย แต่ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่ากับการนำมาปรุงเป็นโอสถ และวิชาปรุงโอสถของหลิ่วหมิงก็สำเร็จในขั้นเล็กๆ แล้ว แม้จะสามารถปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณได้สำเร็จเจ็ดถึงแปดส่วน แต่โอสถเบญจโรจน์เป็นโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ประการแรกเขาไม่มีตำรับโอสถ ประการที่สองก็ขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีประสบการณ์มาปรุงจะดีกว่า
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงหน้าหอที่ดูไม่เตะตา ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตลาด หลังจากหรี่ตามองดูแล้ว ก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
“ผู้อาวุโสเฉียน ท่านหลิวรออยู่นานแล้ว ตามข้ามาเถอะ” พอเขาเดินเข้าไป ชายวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิต ก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และโค้งคารวะมาทางเขา
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในหอ และเดินไปตามทางหินเล็กๆ ตรงหลังหอจนมาถึงหน้าถ้ำหินที่สูงประมาณสองจั้งกว่าๆ
ชายหนุ่มนำป้ายออกมาแผ่นหนึ่ง และโบกไปทางรอยเว้าบนประตู จากนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออกมา มีกลิ่นโอสถจางๆ ลอยออกมาจากด้านใน
“ผู้อาวุโสเฉียน ท่านหลิวสั่งไว้ว่า เมื่อท่านมาถึงแล้วก็เข้าไปด้านในได้เลย ท่านรออยู่ข้างในแล้ว เชิญ!”
“รบกวนแล้ว!”
หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำคนเดียว หลังจากเดินทะลุระเบียงทางเดินเล็กๆ แล้ว ห้องโถงขนาดกว้างหลายจั้งก็ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังของโถงใหญ่มีทางเดินหลายสาย ดูเหมือนจะมีถ้ำอื่นๆ อยู่
ผู้อาวุโสหนวดยาวสีขาว สวมชุดผ้าป่าน กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขากำลังสังเกตดูโอสถสีแดงๆ ที่อยู่ในมืออย่างไม่กระพริบตา สีหน้าเขาดูเบิกบานใจมาก โต๊ะตรงหน้ามีกล่องหยกแคบยาววางอยู่ใบหนึ่ง
“สหายเฉียนเป็นคนรักษาเวลาจริงๆ นี่คือโอสถเบญจโรจน์ ที่ท่านให้ข้าปรุงขึ้นมา”
พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านก็ระงับการแสดงออกทางสีหน้า และไม่กล่าวอะไรออกมาให้มากความ เขาแค่ผลักมือผ่านอากาศ กล่องหยกบนโต๊ะก็ลอยมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือรับกล่องหยกไว้ พอเปิดฝาออกมา ก็พบว่ามีโอสถสีแดงจางๆ จำนวนสามเม็ดที่มีลักษณะคล้ายกับที่ผู้อาวุโสถืออยู่ในมือ กลิ่นโอสถอันเข้มข้นที่ซึมซ่านไปทั่วหัวใจและม้ามพุ่งออกมา
“ไม่เลว! ครั้งนี้รบกวนท่านหลิวแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา