ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 326

สรุปบท ตอนที่ 326: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 326 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 326 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 326 ระดับของเหลวขั้นกลาง
ตอนที่ 326 ระดับของเหลวขั้นกลาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่จริงพลังของเกาชงก็ไม่นับว่าอ่อนแอ เพียงแต่เมื่อเทียบกับคนระดับจางซิ่วเหนียงแล้ว นับว่ายังห่างกันหน่อยหนึ่ง น่าเสียดายที่การคัดเลือกหกศิษย์ในครั้งนี้ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของพลังมากนัก แต่กลับใช้คุณสมบัติของพลังแฝงเป็นเงื่อนไขหลัก อย่างน้อยต้องมีโอกาสในการเข้าสู่ระดับผลึกเป็นอย่างมาก ถึงคุ้มค่าต่อการบ่มเพาะ ต่อให้ตอนนั้นพวกเราจะแนะนำศิษย์น้องหลิ่ว แต่คุณสมบัติของเขาคงถูกทางพันธมิตรอวิ๋นชวนปฏิเสธอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่หวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้ากล่าวออกมา

“ศิษย์พี่ท่านประมุข ท่านคิดว่าศิษย์น้องหลิ่วไม่มีโอกาสเข้าสู่ระดับผลึกจริงๆ หรือ?” หลินไฉอวี่มองดูยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล และพลันถามออกมา

“ศิษย์น้องหลินคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ถามกลับไปหนึ่งประโยค

“อิอิๆ คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน ในเมื่อรู้ว่าปรากฏการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เกิดจากการฝึกฝนพลังของศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องเองก็คลายข้อสงสัยแล้ว ไม่ว่าท้ายสุดแล้ว ศิษย์น้องหลิ่วจะก้าวไปถึงระดับไหน แต่ด้วยพลังอันน่าตกใจของเขา ขอเพียงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไป ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับนิกายเรา ศิษย์น้องยังมีเรื่องต้องหารือกับศิษย์พี่เหลยเล็กน้อย ต้องขอลาไปก่อนแล้ว” หลินไฉอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ลาไปพร้อมกับชายฉกรรจ์แซ่เหลย

ประมุขนิกายปีศาจจ้องมองเงาร่างของทั้งสองที่ออกไปไกลๆ และค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา

“ดูจากการที่ศิษย์น้องหลินกับศิษย์พี่เหลยเปิดเผยเช่นนี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกเราคงได้ข่าวดีของทั้งสองแล้ว” ศิษย์พี่หวงกลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“อ้อ! ความสัมพันธ์ของศิษย์น้องหลินกับศิษย์น้องเหลยกลับมาเป็นปกติแล้วหรือ” ประมุขนิกายปีศาจได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ข้ายังไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัด แต่หลังจากที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกเผ่าเจ้าสมุทร ปมในใจในปีก่อนก็ดูเหมือนจะคลายลงแล้ว” ศิษย์พี่หวงกล่าว

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เดิมทีศิษย์น้องเหลยกับศิษย์น้องหลินก็เป็นคู่ที่สนิทกันมาก แต่เป็นเพราะเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ถึงได้เป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ หากตอนนี้สามารถกลับมาคืนดีกันได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” ประมุขนิกายศาจฟั่นหนวด และกล่าวออกมา

ผู้อาวุโสชุดดำก็พยักหน้าเห็นด้วย

ต่อมา ทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็ทะยานฟ้าจากไป

ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำไอหยิน หลังจากหลิ่วหมิงเก็บไอดำกลับเข้าไปในร่างได้แล้ว ก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมาความดีใจ

เขาลุกขึ้น และกำมือทั้งสองเบาๆ เสียงอากาศระเบิดดังขึ้นมาทันที หลังจากสะบัดแขนทั้งสองออกไป กระดูกทั่วร่างก็ส่งเสียงดังราวกับเสียงจุดประทัด

ตอนนี้ หลังจากที่เขาทานของเหลวจิตวิญญาณที่ปรับแต่งมาจากหัวพยัคฆ์โลหิตแล้ว เขาก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นแรกสำเร็จ

ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่เหมือนกับที่ประมุขนิกายปีศาจคาดเดาว่า ยังอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นกลางระยะหนึ่ง แต่ขณะที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นแรกสำเร็จนั้น เขาก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางไปโดยปริยาย โดยไม่พบเจอกับปัญหาคอขวดที่อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นพูดถึง

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก และรู้สึกเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสมกับเป็นวิชาสายตรงของนิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียน คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขามองข้ามปัญหาคอขวดไปได้ และเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย

มิเช่นนั้น ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขา หากไปฝึกฝนวิชาอื่นล่ะก็ คงมีโอกาสติดอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นไปตลอดชีวิต

ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์ คงเป็นนิกายใหญ่ที่ยอดเยี่ยมในแผ่นดินจงเทียน มิเช่นนั้นแค่วิชาเดียว จะเกิดความมหัศจรรย์ถึงระดับนี้ได้อย่างไร

ไม่รู้ว่าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จ จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นปลายได้ง่ายดายเช่นนี้หรือไม่

หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก แต่กลับไม่รู้ว่าที่เขาบรรลุขั้นได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ แน่นอนว่าวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนับว่าเป็นวิชาระดับสูงในแผ่นเดินจงเทียน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นเพราะตอนนั้นร่างของเขาถูกผู้ชิงร่างคนนั้น ใช้ส่วนที่ยอดเยี่ยมของมังกรแดงระดับผลึกกับเคล็ดวิชาที่มนุษย์ไม่รู้จักปรับแต่งไปรอบหนึ่ง

เพราะผู้ชิงร่างคนนั้น คิดที่จะนำกายเนื้อของหลิ่วมาเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ยอมให้คุณสมบัติของร่างกายของเขาด้อยเกินไป

แม้ว่าตอนแรกเขาจะทำการปรับแต่งอย่างรีบร้อน แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ดูไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนหกชีพจรจิตวิญญาณทั่วไปเลย

อีกอย่างการปรับแต่งเช่นนี้ มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน แต่พอเวลานานเข้า ถึงจะสำแดงผลลัพธ์ออกมา

เคล็ดวิชาที่อาศัยพลังภายนอกมาปรับแต่งคุณสมบัติของผู้ฝึกฝน แม้ว่าเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่หลายประเภท แต่มีเงื่อนไขที่โหดร้ายเป็นอย่างมาก ผลร้ายที่ตามมาก็มีมากเช่นกัน วัตถุดิบเสริมก็เป็นโอสถจิตวิญญาณที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งไม่สามารถเทียบกับเคล็ดวิชาที่ผู้ชิงร่างคนนั้นใช้ได้เลย

หลิ่วหมิงย่อมไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดนี้ แต่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า กายเนื้อของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากระดับของเหลวขั้นต้นราวฟ้ากับดิน

พอเขากวาดสายตามองพื้นที่บริเวณนี้แล้ว ก็คว้ามือไปยังหินผาสีดำก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

“ตู๊ม!”

หินผาสีดำที่อยู่ไม่ไกลระเบิดเป็นกองเศษหินทันที

หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว นิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และกระแทกไปยังผนังหินที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเบาๆ

“ฟู่!”

รอยฝ่ามือลึกๆ ปรากฏอย่างเด่นชัดบนผนัง

พอหลิ่วหมิงดึงฝ่ามือกลับมา พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนตรงรอยฝ่ามือ

พอมีเสียงดังขึ้น ผนังหินก็ทลายลงมาเป็นผุยผุง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา

ตอนนี้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งมาก เกรงว่าต่อให้ผู้ฝึกร่างขั้นปลายที่แท้จริง ก็เทียบกันไม่ติด

หลิ่วหมิงนำจิตออกจากทะเลจิตรับรู้ ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดขึ้นมา

“การฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สอง จำต้องอาศัยพลังภายนอกในการฝึกร่างเป็นระยะเวลานาน ถึงจะฝึกฝนได้สำเร็จ ดูท่าคงไม่อาจอาศัยการทานโอสถ หรือสิ่งของจิตวิญญาณอื่นๆ มาช่วยยกระดับการฝึกฝนแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำ แต่ไม่แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาจริงๆ

หากฟองอากาศลึกลับไม่มีพลังในการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ล่ะก็ ต่อให้มีโอสถเพิ่มพลังเวทย์มากองไว้ตรงหน้า หลิ่วหมิงก็ไม่กล้าทานมากจนเกินไป

ตอนนี้เขาอาศัยพลังของโอสถ ทำให้ตนเองกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีได้ นับว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แล้ว

หากเป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณทั่วไปล่ะก็ ตอนนี้จะกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้หรือไม่นั้น ยังไม่อาจให้คำตอบได้

ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงไม่ได้พะวงในเรื่องผลได้ผลเสียมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขาอาจจะฝึกฝนนานหน่อย ค่อยๆ ศึกษาจนชำนาญ ย่อมมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเขามาก

แม้ว่าความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้ แต่ในแง่อื่น ๆ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันหลังจากผ่านการฝึกฝนมานับสิบปีหรือหลายร้อยปี ก็ค่อนข้างอ่อนแอไปหน่อย

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พอรู้ว่าต่อไปการฝึกฝนของตนเองจะเดินไปเส้นทางใดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล และพุ่งออกไปด้านนอกทันที

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป พอหลิ่วหมิงกลับถึงเขาเก้าทารก ก็ไปพบกุยหรูฉวนก่อน จากนั้นก็กลับถ้ำที่พักของตนเองทันที หลังจากเก็บสิ่งของเล็กน้อยแล้ว ก็ไปจากนิกายปีศาจอย่างเงียบๆ

หลายวันต่อมา ข่าวที่หลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลาง ก็ถูกถ่ายทอดออกจากปากศิษย์สาขาเก้าทารก

เรื่องนี้สร้างความฮือฮาไปทั่วนิกายปีศาจ

แต่ข่าวที่หลิ่วหมิงทานโอสถเกินขนาด ทำให้รากฐานไม่มั่นคง จนต้องไปจากนิกายอีกครั้ง ก็ออกมาจากปากศิษย์สาขาเก้าทารกด้วยเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจขึ้นมาทันที

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องที่หลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้อาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ในนิกายจำนวนไม่น้อย รู้สึกสนใจขึ้นมา

หากหลิ่วหมิงไม่รีบไปจากนิกายก่อน เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

……………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา