“ศิษย์พี่ท่านประมุข ท่านคิดว่าศิษย์น้องหลิ่วไม่มีโอกาสเข้าสู่ระดับผลึกจริงๆ หรือ?” หลินไฉอวี่มองดูยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล และพลันถามออกมา
“ศิษย์น้องหลินคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ถามกลับไปหนึ่งประโยค
“อิอิๆ คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน ในเมื่อรู้ว่าปรากฏการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เกิดจากการฝึกฝนพลังของศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องเองก็คลายข้อสงสัยแล้ว ไม่ว่าท้ายสุดแล้ว ศิษย์น้องหลิ่วจะก้าวไปถึงระดับไหน แต่ด้วยพลังอันน่าตกใจของเขา ขอเพียงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไป ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับนิกายเรา ศิษย์น้องยังมีเรื่องต้องหารือกับศิษย์พี่เหลยเล็กน้อย ต้องขอลาไปก่อนแล้ว” หลินไฉอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ลาไปพร้อมกับชายฉกรรจ์แซ่เหลย
ประมุขนิกายปีศาจจ้องมองเงาร่างของทั้งสองที่ออกไปไกลๆ และค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ดูจากการที่ศิษย์น้องหลินกับศิษย์พี่เหลยเปิดเผยเช่นนี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกเราคงได้ข่าวดีของทั้งสองแล้ว” ศิษย์พี่หวงกลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ! ความสัมพันธ์ของศิษย์น้องหลินกับศิษย์น้องเหลยกลับมาเป็นปกติแล้วหรือ” ประมุขนิกายปีศาจได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ข้ายังไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัด แต่หลังจากที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกเผ่าเจ้าสมุทร ปมในใจในปีก่อนก็ดูเหมือนจะคลายลงแล้ว” ศิษย์พี่หวงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เดิมทีศิษย์น้องเหลยกับศิษย์น้องหลินก็เป็นคู่ที่สนิทกันมาก แต่เป็นเพราะเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ถึงได้เป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ หากตอนนี้สามารถกลับมาคืนดีกันได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” ประมุขนิกายศาจฟั่นหนวด และกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสชุดดำก็พยักหน้าเห็นด้วย
ต่อมา ทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็ทะยานฟ้าจากไป
ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำไอหยิน หลังจากหลิ่วหมิงเก็บไอดำกลับเข้าไปในร่างได้แล้ว ก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมาความดีใจ
เขาลุกขึ้น และกำมือทั้งสองเบาๆ เสียงอากาศระเบิดดังขึ้นมาทันที หลังจากสะบัดแขนทั้งสองออกไป กระดูกทั่วร่างก็ส่งเสียงดังราวกับเสียงจุดประทัด
ตอนนี้ หลังจากที่เขาทานของเหลวจิตวิญญาณที่ปรับแต่งมาจากหัวพยัคฆ์โลหิตแล้ว เขาก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นแรกสำเร็จ
ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่เหมือนกับที่ประมุขนิกายปีศาจคาดเดาว่า ยังอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นกลางระยะหนึ่ง แต่ขณะที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นแรกสำเร็จนั้น เขาก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางไปโดยปริยาย โดยไม่พบเจอกับปัญหาคอขวดที่อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นพูดถึง
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก และรู้สึกเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสมกับเป็นวิชาสายตรงของนิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียน คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขามองข้ามปัญหาคอขวดไปได้ และเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย
มิเช่นนั้น ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขา หากไปฝึกฝนวิชาอื่นล่ะก็ คงมีโอกาสติดอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นไปตลอดชีวิต
ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์ คงเป็นนิกายใหญ่ที่ยอดเยี่ยมในแผ่นดินจงเทียน มิเช่นนั้นแค่วิชาเดียว จะเกิดความมหัศจรรย์ถึงระดับนี้ได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จ จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นปลายได้ง่ายดายเช่นนี้หรือไม่
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก แต่กลับไม่รู้ว่าที่เขาบรรลุขั้นได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ แน่นอนว่าวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนับว่าเป็นวิชาระดับสูงในแผ่นเดินจงเทียน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นเพราะตอนนั้นร่างของเขาถูกผู้ชิงร่างคนนั้น ใช้ส่วนที่ยอดเยี่ยมของมังกรแดงระดับผลึกกับเคล็ดวิชาที่มนุษย์ไม่รู้จักปรับแต่งไปรอบหนึ่ง
เพราะผู้ชิงร่างคนนั้น คิดที่จะนำกายเนื้อของหลิ่วมาเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ยอมให้คุณสมบัติของร่างกายของเขาด้อยเกินไป
แม้ว่าตอนแรกเขาจะทำการปรับแต่งอย่างรีบร้อน แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ดูไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนหกชีพจรจิตวิญญาณทั่วไปเลย
อีกอย่างการปรับแต่งเช่นนี้ มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน แต่พอเวลานานเข้า ถึงจะสำแดงผลลัพธ์ออกมา
เคล็ดวิชาที่อาศัยพลังภายนอกมาปรับแต่งคุณสมบัติของผู้ฝึกฝน แม้ว่าเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่หลายประเภท แต่มีเงื่อนไขที่โหดร้ายเป็นอย่างมาก ผลร้ายที่ตามมาก็มีมากเช่นกัน วัตถุดิบเสริมก็เป็นโอสถจิตวิญญาณที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งไม่สามารถเทียบกับเคล็ดวิชาที่ผู้ชิงร่างคนนั้นใช้ได้เลย
หลิ่วหมิงย่อมไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดนี้ แต่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า กายเนื้อของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากระดับของเหลวขั้นต้นราวฟ้ากับดิน
พอเขากวาดสายตามองพื้นที่บริเวณนี้แล้ว ก็คว้ามือไปยังหินผาสีดำก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“ตู๊ม!”
หินผาสีดำที่อยู่ไม่ไกลระเบิดเป็นกองเศษหินทันที
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว นิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และกระแทกไปยังผนังหินที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเบาๆ
“ฟู่!”
รอยฝ่ามือลึกๆ ปรากฏอย่างเด่นชัดบนผนัง
พอหลิ่วหมิงดึงฝ่ามือกลับมา พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนตรงรอยฝ่ามือ
พอมีเสียงดังขึ้น ผนังหินก็ทลายลงมาเป็นผุยผุง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา
ตอนนี้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งมาก เกรงว่าต่อให้ผู้ฝึกร่างขั้นปลายที่แท้จริง ก็เทียบกันไม่ติด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา