หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็นึกถึงชายชราที่เสียชีวิตบนแท่นบูชาทันที เขารู้สึกตกใจสะดุ้งโหยง และไม่ถามอะไรต่ออีก หลังจากคุยกับชายฉกรรจ์สองสามประโยคแล้ว ก็กล่าวลาอย่างเป็นทางการ
เซียวเยวี่ยไป๋กับหานหลีไปส่งหลิ่วหมิงตรงประตูเข้านิกายหยวนหมัวด้วยตนเอง จากนั้นถึงกลับเข้าไปในนิกาย
“ศิษย์พี่เซียว ใครเสียชีวิตกันแน่? ตอนนี้สหายหลิ่วไม่อยู่แล้ว บอกชื่อมาเถอะ” ในระหว่างทาง หานหลีถามชายฉกรรจ์อย่างอดไม่ได้
“อาจารย์เสียชีวิตแล้ว” เซียวเยวี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“อาจารย์? อะไรนะ……ท่านหมายถึงอาจารย์ลุงซิ่ง เป็นไปได้อย่างไร!” ตอนแรกหานหลียังรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากได้สติก็หลุดปากออกมา
“ตอนนี้มีแต่ผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายที่รู้เรื่องนี้ ทางนิกายกำลังตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตอยู่ เพราะตามหลักการแล้ว แม้ท่านจะถูกพลังปีศาจสะท้อนกลับ จนต้องอยู่ในแดนต้องห้าม แต่เสียชีวิตกะทันหันเช่นนี้ ยังคงน่าสงสัยยิ่งนัก ศิษย์น้องเองก็พยายามปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าได้บอกศิษย์ทั่วไปโดยเด็ดขาด” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวด้วยสีหน้ามืดมน
หานหลีพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากนิกายหยวนหมัว และปล่อยเรือกลเหาะออกมาแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังแคว้นต้าเสวียนทันที
ผ่านไปสองเดือนกว่า ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงนิกายปีศาจอีกครั้ง
การไปกลับครั้งนี้ ใช้เวลานานหลายเดือน แต่สำหรับคนในนิกายปีศาจแล้ว กลับไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องที่เขาไปจากนิกายมากนัก
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พักของตนเอง ก็พักผ่อนไปสามวัน จากนั้นก็เริ่มใช้วิธีการในคัมภีร์มังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำการปรับแต่งหัวพยัคฆ์
สิบกว่าวันผ่านไป เขาเดินออกจากถ้ำที่พักด้วยจิตใจกระปรี้กระเปร่า บนตัวเขามีของเหลวสีแดงม่วงที่ตั้งใจผสมขึ้นมา จากนั้นก็มุ่งไปยังถ้ำไอหยินที่เขาเคยไปฝึกฝน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลิ่วหมิงอยู่ในถ้ำไอหยินนานเดือนกว่าๆ
วันนี้ ศิษย์นิกายปีศาจจำนวนหนึ่ง ผ่านมาบริเวณยอดเขาที่ถ้ำไอหยินตั้งอยู่ พลันได้ยินเสียงดังโครมครามดังมาจากยอดเขา จากนั้นไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากแยกเป็นสองกลุ่มแล้ว ก็กลายเป็นมังกรดำกับพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่
หลังจากที่ทั้งสองปรากฏตัวกลางอากาศ พวกมันต่างก็กระโจนเข้าหากัน ตัวหนึ่งแหงนหน้าคำรามเสียงมังกรออกมา อีกตัวก้มหน้าคำรามออกมาติดต่อกัน พวกมันดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต
ศิษย์นิกายปีศาจที่ผ่านมาเห็นเช่นนี้ ต่างก็จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง
มีเงาร่างปรากฏบนอากาศเหนือยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน ประมุขนิกายปีศาจปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ
“กลิ่นไอน่ากลัวยิ่งนัก หรือว่าศิษย์น้องผู้นี้เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ทะลวงขั้นในถ้ำไอหยินได้สำเร็จแล้วหรือ” มีคลื่นสั่นสะเทือนข้างประมุขนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา หลังจากสังเกตดูเหตุการณ์กลางอากาศแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้อาวุโสผู้นี้ก็คือ ศิษย์พี่หวงที่ช่วยหลิ่วหมิงปรับแต่งมุกพลังวารีในตอนนั้น
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดังมาจากอากาศ เหมือนกับว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ พุ่งยิงมาทางนี้เช่นกัน
“แม้กลิ่นไอนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกว่าทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายสำเร็จ แต่ดูคล้ายกับสำเร็จวิชาบางอย่าง และยังไม่สามารถเก็บมันได้ดังใจ ถึงได้เกิดเหตุการ์เช่นนี้ขึ้น แต่ปรากฏการณ์ที่มังกรกับพยัคฆ์บรรจบกัน เป็นเรื่องพบเจอได้น้อยมาก ข้านึกไม่ออกว่า วิชาอะไรในนิกายเราที่ฝึกสำเร็จแล้ว จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ ศิษย์น้องหวง เจ้ารู้อะไรบ้างไหม?” ประมุขนิกายปีศาจส่ายศีรษะ และถามออกไปราวกับคิดอะไรอยู่
“ในเมื่อศิษย์พี่ท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ มันคงไม่ผิด แต่จะบอกว่าเป็นวิชาประเภทใดนั้น ศิษย์น้องยิ่งไม่รู้ไปใหญ่” ศิษย์พี่หวงกระพริบตาปริบๆ และส่ายหน้ากล่าว
พอมีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” กลางอากาศ เงาร่างของคนสองคนก็ร่อนลงมา
คนหนึ่งเป็นหญิงสาวใบหน้างดงาม อีกคนเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งก็คือหลินไฉอวี่แห่งสาขาระบำปีศาจ กับชายฉกรรจ์แซ่เหลยแห่งสาขากลลับสวรรค์นั่นเอง
ทั้งสองทักทายประมุขนิกายปีศาจกับศิษย์พี่หวงก่อน จากนั้นก็จ้องมองปรากฏการณ์มังกรพยัคฆ์เหนือยอดเขาใกล้เคียงด้วยสีหน้าตกใจ
มังกรพยัคฆ์กลางอากาศเพียงแค่เล่นกันเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ระเบิดร่างออกมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นไอดำ และพุ่งยิงลงไปด้านล่าง เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มุดหายไปในยอดเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา