พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา แต่ก็กัดฟันส่งพลังเวทย์เข้าไปในศิลาจารึกต่อ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปประมาณหนึ่งในสามของพลังเวทย์ทั้งหมดแล้ว นาฬิกาทรายในทะเลจิตรับรู้ก็กลายเป็นแสงแดดสีทอง และส่องแสงละลานตา
หลิ่วหมิงพลันได้ยินเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และมาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าสีเทาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงจ้องมองสถานที่แห่งนี้ด้วยความรู้สึกตกใจระคนดีใจ ขณะที่เขายังไม่ทันจะทำอะไร แสงสีทองก็ม้วนตัวออกจากระหว่างคิ้ว พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศิลาจารึกก็มาตั้งอยู่ตรงหน้า
ศิลาจารึกยังคงมีขนาดใหญ่เท่าเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ด้านบนกลับเป็นสีขาว และข้างล่างกลับเป็นสีดำเหมือนเดิม และเริ่มมีเม็ดทรายสีเงินร่วงหล่นลงมา
ราวกับว่าชั่วเวลาหนึ่งอึดใจ มันจะหล่นลงไปหนึ่งเม็ด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
แม้เขาจะไม่รู้ที่มาของห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่ก็นับว่ารู้วิธีการเข้าออกห้องว่างเปล่าแห่งนี้แล้ว
สิ่งนี้ ทำให้ความรู้สึกอึดอัดใจของเขาคลายลงไปมาก
แต่พอกวาดสายตามองนาฬิกาทรายบนศิลาจารึก และประมาณเวลาคร่าวๆ แล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิลงตรงหน้า และรอคอยอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อเม็ดทรายสีเงินเม็ดสุดท้ายในนาฬิกาทรายร่วงลงไปจนหมดสิ้น นาฬิกาทรายก็กลับด้านอีกครั้ง
พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู เขาก็มาปรากฏตัวบนแท่นบูชาอีกครั้ง
พอลืมตาทั้งสองขึ้น ก็นำจิตจมดิ่งไปยังศีรษะทันที
ศิลาจารึกที่ด้านบนเป็นสีดำ ด้านล่างเป็นสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลจิตรับรู้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
เวลาต่อมา เขาทำการครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เพื่อหาสาเหตุที่ศิลาหุนเทียนปรากฏออกมาโดยฉับพลัน!
หลังจากคิดไตร่ตรองจนมั่นใจแล้ว ก็รู้ว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนเกี่ยวข้องกับใบหน้าขนาดยักษ์ที่ปรากฏในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ใบหน้าขนาดยักษ์ มีลักษณะเหมือนกับใบหน้าเขาไม่มีผิด มันคงกลายร่างมาจากสิ่งของของผู้ชิงร่างเขาในก่อนหน้านั้น
ดูจากสภาพที่มันถูกม่านแสงสีขาวต้านทานไว้ และพยายามพุ่งออกมา คิดว่าคงจะถูกผนึกไว้เช่นกัน
ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันถึงสามารถพุ่งออกมาได้ ดังนั้นจึงได้กลายร่างเป็นเขา และอาศัยตอนที่พลังจิตของเขาอ่อนแอชิงร่างเขาไป
แต่ครั้งนี้ มันกลับทำไม่สำเร็จ ทั้งยังถูกผนึกไว้ตรงหน้าเขา และถูกเขาโจมตีจนเสียชีวิต
สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหลิ่วหมิง
แต่จะว่าไปแล้ว ในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้ มีสิ่งของผนึกอยู่มากน้อยแค่ไหนกัน
ดูจากฝันอันแปลกประหลาดของเขาในก่อนนั้น เหมือนกับว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว
ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เขายังคงมีอันตรายจากการถูกชิงร่างอยู่ ควรจะหาอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถป้องกันการชิงร่างถึงจะได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา ผ่านไปซักพักถึงเรียกสติกลับมาได้ พอเขากวาดพลังจิตออกไป ก็เห็นกลุ่มไอดำเหล่านี้ อยู่ในทะเลจิตรับรู้ของเขา
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูสองสามที และใช้พลังจิตกวาดดูแล้ว กลับค้นพบว่ามันคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต และพอสัมผัสอะไรไม่ได้อีก เขาก็รู้สึกวางใจขึ้นมา และรีบกระตุ้นพลังจิตอันแข็งแกร่งทันที เพื่อที่จะบีบให้ไอดำกลุ่มนี้ออกจากร่างเขาไป
“ฟู่!”
พริบตาที่พลังจิตอันแข็งแกร่งสัมผัสกับมัน ไอดำก็ระเบิดตัวเป็นไหมดำจำนวนมาก และสลายตัวไปจากทะเลจิตรับรู้ของเขา
หลิ่วหมิงรีบใช้พลังจิตกวาดดูทะเลจิตรับรู้ด้วยความตกใจ แต่กลับไม่พบร่องรอยของกลุ่มไอดำเลย
เขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปลี่ยนไปใช้เคล็ดวิชาอื่นๆ กวาดดูทั่วร่างอีกหลายรอบ แต่ก็หาเจอสิ่งใดไม่ ราวกับว่าไอดำกลุ่มนี้ ไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
จนเมื่อค้นหาไปได้สองชั่วยามกว่า เขาก็ต้องจำใจละทิ้งมันไป
ดีที่ว่ากลิ่นไอของไอดำเหล่านี้เบาบางมาก อย่างมากก็แค่กลับไปยืมอาวุธจิตวิญญาณธาตุหยินมาประสานกับอัคคีพลังชีวิต กวาดดูทั้งภายในและภายนอกร่างกาย คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองได้เช่นนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
พอเขาดึงพลังจิตกลับมา ก็หยิบโอสถฟื้นฟูพลังเวทย์เม็ดหนึ่งออกมารับประทานทและทำการฟื้นฟูพลังเวทย์อย่างเงียบๆ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง ตอนที่หลิ่วหมิงลุกขึ้นจากพื้นนั้น พลังเวทย์ที่สูญเสียไปก็ฟื้นคืนมากว่าครึ่งหนึ่ง
เขาโบกมือไปทางแมงป่องกระดูก ที่นอนหมอบอยู่ตรงขอบแท่นบูชาโดยไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นก็พามันลอยออกไปจากแท่นบูชา
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงใต้ดินของเจดีย์ชั้นที่หก และเปล่งประกายออกมาจากแสงทรงกลดสีขาว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา