ยามตะวันรอน
บนเกาะยักษ์ที่ตั้งค่อนไปทางใต้ของใจกลางทะเลชังไห่ ภายใต้แสงตะวันรอน เหนือเกาะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกชั้นบางๆ ทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ท่าเรือของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันตก มีเรือขนาดต่างๆ วิ่งไปมาอยู่ไม่หยุด ข้างท่าเรือมีเรือยักษ์อยู่หลายลำ
ส่วนลำอื่นๆ ที่ค่อนข้างเล็ก ก็มีนับไม่ถ้วน
เสียงคลื่นทะเลปะปนกับเสียงผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท่าเรือ ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก
แต่ที่ต่างจากแผ่นดินอวิ๋นชวนก็คือ ผู้คนบนเกาะไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด แม้กระทั่งอาจพูดได้ว่า ต่างเผ่าครอบครองพื้นที่ส่วนมากไว้ และมนุษย์ครอบครองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
เผ่าเจ้าสมุทรมีเกล็ดสีต่างๆ ปกคลุมบนอยู่บนตัว เผ่าปีศาจมีหัวเป็นอสูรร่างเป็นมนุษย์ มนุษย์อสูรมีผิวสีเขียว ใบหน้าอัปลักษณ์ และเผ่าไม่ทราบชื่ออื่นๆ พอมองออกไป ก็ดูเหมือนเป็นผัดโป๊ยเซียน
ดูจากกลิ่นไอที่พวกเขาปล่อยออกมา ส่วนมากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้ทำการฝึกฝน คนที่ฝึกฝนก็มีไม่มาก
และผู้ฝึกฝนต่างเผ่าที่ดูแลระเบียบของท่าเรือแห่งนี้ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นกับขั้นปลาย
มีผู้ฝึกฝนพุ่งผ่านเหนือน่านฟ้าเป็นครั้งคราว มนุษย์ธรรรมดาเหล่านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ ราวกับจะเคยชินแล้ว
มนุษย์ชายหญิงสองคน กำลังยืนเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่บนอากาศตรงมุมหนึ่งของท่าเรือ
ผู้ชายใส่ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดา รูปร่างสูงใหญ่
ผู้หญิงสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงาม แต่สีหน้าเยือกเย็น เผยให้เห็นว่าทั้งสองมีคุณสมบัติไม่เบา
พวกเขาคือหลิ่วหมิงและเย่เทียนเหมยที่โดยสารเรือมาถึงเกาะตะพาบน้ำนั่นเอง
ตั้งแต่เผชิญกับปีศาจวิหคดำที่เชี่ยวชาญการใช้พายุปีศาจ และหลังจากที่มันถูกกำปั้นของหลิ่วหมิงโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พายุประหลาดกลางอากาศก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็บังคับเรือเหาะให้เหาะสูงขึ้นอีก
การเดินทางครั้งนี้ พวกเขามาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตามข้อมูลเกี่ยวกับเกาะที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ภายใต้การเสนอแนะของหลิ่วหมิง ทั้งสองจึงเปลี่ยนชุดและระงับระดับการฝึกฝนครึ่งหนึ่งไว้
มิเช่นนั้น ด้วยการฝึกฝนระดับผลึกของเย่เทียนเหมย และชื่อเสียงการฝึกกระบี่ของนาง พอนางขึ้นเกาะย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะดึงความสนใจจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของผู้ฝึกฝนระดับต่ำ เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงก็เหมือนกับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไป ไม่มีอะไรแตกต่างเลย
แม้เย่เทียนเหมยจะมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก แต่พอเปลี่ยนชุดแล้ว เย่เทียนเหมยกลับยังคงดูเตะตาเช่นเดิม
แน่นอนว่านางไม่ยอมเปลี่ยนใบหน้า แค่ยอมเปลี่ยนชุดก็ถือว่าลดเกียรติมากแล้ว
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเหยียบเท้าลงบนแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เขาจ้องมนุษย์ต่างเผ่าเหล่านี้ด้วยความสนใจ
เย่เทียนเหมยกับมีสีหน้าสงบต่อฉากที่ปรากฏตรงหน้า ประจักษ์ชัดว่าเห็นภาพเหล่านี้จนเคยชินแล้ว
อาจเป็นเพราะเหตุที่ว่า สถานที่แห่งนี้มีคนต่างเผ่าครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก พอทั้งสองมาปรากฏตัวบนท่าเรือ ยิ่งทำให้คนต่างเผ่ารู้สึกประหลาดใจ และพยายามเข้ามาดูใกล้ๆ
แต่พอหลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปกดดันเพียงเล็กน้อย คนต่างเผ่าเหล่านั้นก็รู้สึกเย็นสะท้าน และรีบถอยห่างทั้งสองด้วยความแค้นใจ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ให้เกียรติทั้งสอง และรีบถอยห่างออกมา
หลิ่วหมิงซื้อแผ่นหยกสีฟ้าที่เป็นแผนที่ของเกาะตะพาบน้ำจากร้านในเมืองที่มนุษย์ผู้หนึ่งขาย จากนั้นเขากับเย่เทียนเหมยก็เดินไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
เขาคิดจะทำความเข้าใจกับสภาพของเกาะก่อน แล้วค่อยตัดสินใจวางแผนขั้นต่อไป
ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมตกแต่งอย่างง่ายๆ ผู้คนที่อยู่ชั้นนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไปที่ทานอาหารธรรมดาเท่านั้น ชั้นสองถึงเป็นที่พักผ่อนและทานอาหารของผู้ที่ค่อนข้างมีตำแหน่ง และผู้ฝึกฝน
เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงย่อมไม่พักค้างชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมุ่งตรงขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นสองมีแขกไม่ค่อยมาก มีคนนั่งโต๊ะแค่สามสี่โต๊ะ
ดูเหมือนว่าโต๊ะตัวหนึ่ง จะมีชายเผ่าเจ้าสมุทรนั่งรับประทานอาหารด้วยกันสามคน
ตอนที่หลิ่วหมิงเหยียบเข้ามาในชั้นนี้ ก็มองโต๊ะนั้นสองสามที จากนั้นก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
เพราะคนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสาม ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้ที่นั่งตรงกลาง มีกลิ่นไอของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางแผ่ออกมาจางๆ
พวกเขาเหล่านี้ ต่างก็สวมชุดคลุมสีฟ้า หน้าอกด้านซ้ายมีสัญลักษณ์ที่เป็นรูประลอกน้ำติดอยู่ ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของสถานะอะไรบางอย่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา