ตอน ตอนที่ 333 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 333 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ยามตะวันรอน
บนเกาะยักษ์ที่ตั้งค่อนไปทางใต้ของใจกลางทะเลชังไห่ ภายใต้แสงตะวันรอน เหนือเกาะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกชั้นบางๆ ทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ท่าเรือของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันตก มีเรือขนาดต่างๆ วิ่งไปมาอยู่ไม่หยุด ข้างท่าเรือมีเรือยักษ์อยู่หลายลำ
ส่วนลำอื่นๆ ที่ค่อนข้างเล็ก ก็มีนับไม่ถ้วน
เสียงคลื่นทะเลปะปนกับเสียงผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท่าเรือ ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก
แต่ที่ต่างจากแผ่นดินอวิ๋นชวนก็คือ ผู้คนบนเกาะไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด แม้กระทั่งอาจพูดได้ว่า ต่างเผ่าครอบครองพื้นที่ส่วนมากไว้ และมนุษย์ครอบครองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
เผ่าเจ้าสมุทรมีเกล็ดสีต่างๆ ปกคลุมบนอยู่บนตัว เผ่าปีศาจมีหัวเป็นอสูรร่างเป็นมนุษย์ มนุษย์อสูรมีผิวสีเขียว ใบหน้าอัปลักษณ์ และเผ่าไม่ทราบชื่ออื่นๆ พอมองออกไป ก็ดูเหมือนเป็นผัดโป๊ยเซียน
ดูจากกลิ่นไอที่พวกเขาปล่อยออกมา ส่วนมากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้ทำการฝึกฝน คนที่ฝึกฝนก็มีไม่มาก
และผู้ฝึกฝนต่างเผ่าที่ดูแลระเบียบของท่าเรือแห่งนี้ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นกับขั้นปลาย
มีผู้ฝึกฝนพุ่งผ่านเหนือน่านฟ้าเป็นครั้งคราว มนุษย์ธรรรมดาเหล่านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ ราวกับจะเคยชินแล้ว
มนุษย์ชายหญิงสองคน กำลังยืนเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่บนอากาศตรงมุมหนึ่งของท่าเรือ
ผู้ชายใส่ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดา รูปร่างสูงใหญ่
ผู้หญิงสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงาม แต่สีหน้าเยือกเย็น เผยให้เห็นว่าทั้งสองมีคุณสมบัติไม่เบา
พวกเขาคือหลิ่วหมิงและเย่เทียนเหมยที่โดยสารเรือมาถึงเกาะตะพาบน้ำนั่นเอง
ตั้งแต่เผชิญกับปีศาจวิหคดำที่เชี่ยวชาญการใช้พายุปีศาจ และหลังจากที่มันถูกกำปั้นของหลิ่วหมิงโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พายุประหลาดกลางอากาศก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็บังคับเรือเหาะให้เหาะสูงขึ้นอีก
การเดินทางครั้งนี้ พวกเขามาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตามข้อมูลเกี่ยวกับเกาะที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ภายใต้การเสนอแนะของหลิ่วหมิง ทั้งสองจึงเปลี่ยนชุดและระงับระดับการฝึกฝนครึ่งหนึ่งไว้
มิเช่นนั้น ด้วยการฝึกฝนระดับผลึกของเย่เทียนเหมย และชื่อเสียงการฝึกกระบี่ของนาง พอนางขึ้นเกาะย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะดึงความสนใจจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของผู้ฝึกฝนระดับต่ำ เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงก็เหมือนกับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไป ไม่มีอะไรแตกต่างเลย
แม้เย่เทียนเหมยจะมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก แต่พอเปลี่ยนชุดแล้ว เย่เทียนเหมยกลับยังคงดูเตะตาเช่นเดิม
แน่นอนว่านางไม่ยอมเปลี่ยนใบหน้า แค่ยอมเปลี่ยนชุดก็ถือว่าลดเกียรติมากแล้ว
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเหยียบเท้าลงบนแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เขาจ้องมนุษย์ต่างเผ่าเหล่านี้ด้วยความสนใจ
เย่เทียนเหมยกับมีสีหน้าสงบต่อฉากที่ปรากฏตรงหน้า ประจักษ์ชัดว่าเห็นภาพเหล่านี้จนเคยชินแล้ว
อาจเป็นเพราะเหตุที่ว่า สถานที่แห่งนี้มีคนต่างเผ่าครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก พอทั้งสองมาปรากฏตัวบนท่าเรือ ยิ่งทำให้คนต่างเผ่ารู้สึกประหลาดใจ และพยายามเข้ามาดูใกล้ๆ
แต่พอหลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปกดดันเพียงเล็กน้อย คนต่างเผ่าเหล่านั้นก็รู้สึกเย็นสะท้าน และรีบถอยห่างทั้งสองด้วยความแค้นใจ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ให้เกียรติทั้งสอง และรีบถอยห่างออกมา
หลิ่วหมิงซื้อแผ่นหยกสีฟ้าที่เป็นแผนที่ของเกาะตะพาบน้ำจากร้านในเมืองที่มนุษย์ผู้หนึ่งขาย จากนั้นเขากับเย่เทียนเหมยก็เดินไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
เขาคิดจะทำความเข้าใจกับสภาพของเกาะก่อน แล้วค่อยตัดสินใจวางแผนขั้นต่อไป
ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมตกแต่งอย่างง่ายๆ ผู้คนที่อยู่ชั้นนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไปที่ทานอาหารธรรมดาเท่านั้น ชั้นสองถึงเป็นที่พักผ่อนและทานอาหารของผู้ที่ค่อนข้างมีตำแหน่ง และผู้ฝึกฝน
เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงย่อมไม่พักค้างชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมุ่งตรงขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นสองมีแขกไม่ค่อยมาก มีคนนั่งโต๊ะแค่สามสี่โต๊ะ
ดูเหมือนว่าโต๊ะตัวหนึ่ง จะมีชายเผ่าเจ้าสมุทรนั่งรับประทานอาหารด้วยกันสามคน
ตอนที่หลิ่วหมิงเหยียบเข้ามาในชั้นนี้ ก็มองโต๊ะนั้นสองสามที จากนั้นก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
เพราะคนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสาม ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้ที่นั่งตรงกลาง มีกลิ่นไอของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางแผ่ออกมาจางๆ
พวกเขาเหล่านี้ ต่างก็สวมชุดคลุมสีฟ้า หน้าอกด้านซ้ายมีสัญลักษณ์ที่เป็นรูประลอกน้ำติดอยู่ ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของสถานะอะไรบางอย่าง
เย่เทียนเหมยทำราวกับไม่ได้ยิน ใบหน้าของนางเยือกเย็นกว่าเดิม และทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้ง
พอทั้งสองเห็นท่าไม่ดี ก็ขยี้ยันต์ที่ถือไว้แต่แรกอย่างไม่ลังเล แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นบนตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงสองลำ และคิดจะหลบหนีออกไปนอกหน้าต่าง
แต่พอแสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้า ลำแสงสีเงินก็กระพริบผ่านร่างของทั้งสองไป พริบตาเดียวทั้งสองก็ถูกฟันเป็นสองส่วน
พอเย่เทียนเหมยทำท่ามืออีกครั้ง ลำแสงสีเงินก็พุ่งยิงกลับมา และพร่ามัวกลายเป็นกระบี่ยาวสีเงินที่ยาวฉื่อกว่าๆ จากนั้นก็กระพริบหายไปในแขนเสื้อของนาง
คนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมชั้นสองเห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และไม่กล้าใช้สายตาอันหวาดกลัวมองมาทางเย่เทียนเหมยเลย
หลิ่วหมิงเห็นอาจารย์อาเย่ผู้นี้ สังหารผู้ฝึกฝนระดับของเหลวของเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามคนอย่างง่ายดาย โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสลงมือเลย และสาเหตุก็เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างมาก
ช่างสมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก เพียงแค่โจมตีอย่างไม่ใส่ใจ ก็มีอานุภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้
ตอนนี้ เขาได้ทำความรู้จักผู้ฝึกกระบี่หญิงระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ใหม่อีกครั้ง
“ไปกันเถอะ!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เย่เทียนเหมยไม่ได้มองผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามเลย พอนางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แสงสีเงินก็เปล่งประกายขึ้นบนตัว และกลายเป็นลำแสงสีเงินพุ่งออกนอกหน้าต่างไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งตามเย่เทียนเหมยไป
พอคนอื่นๆ ดึงสติกลับมาได้ ก็ไม่เห็นเงาร่างของทั้งสองแล้ว
ห่างจากท่าเรือของเมืองเล็กๆ มาหลายสิบลี้ เรือเหาะรูปกระสวยกำลังเหาะอยู่เหนือป่าดงดิบสีเขียวที่มีต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้า
คนที่อยู่บนเรือคือเย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงที่เพิ่งออกมาจากท่าเรือของเมืองเล็กๆ นั่นเอง
“ตามข่าวล่าสุดที่ผู้ดำเนินการของพันธมิตรทั้งสองส่งกลับมา และดูจากแผนที่ของเกาะฉบับนี้แล้ว ตอนนั้นพวกเขาอยู่ในเขตของกลุ่มอิทธิพลหุบเขาผลึก ซึ่งห่างจากทางใต้ของหุบเขาผลึกไม่ไกล” เย่เทียนเหมยหยิบแผ่นหยกสีฟ้าออกจากหน้าผาก และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อพวกเขาไปทำการค้ากับหุบเขาผลึก และยังเข้าไปในเขตของหุบเขาผลึกด้วย คิดว่าคงหาที่พักในเมืองบางแห่งที่อยู่บริเวณนี้ ดูจากสภาพการณ์แล้ว อาจจะติดต่อกับหุบเขาผลึกแล้วก็เป็นได้” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่วกล่าวได้ไม่มีผิด เมืองทางใต้ของหุบเขาผลึกที่สอดคล้องกับสถานการณ์นี้ มีเพียงแค่เมืองเดียวที่ชื่อว่า ‘เมืองกู่หนาน’ เท่านั้น ดูจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์แล้ว คงเป็นเมืองที่หุบเขาผลึกก่อตั้งขึ้น ตอนนี้เพียงแค่รีบไปให้ถึงในเมือง และหาสถานที่ที่ผู้ดำเนินการของพันธมิตรทั้งสองทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เรื่องนี้คงจะกระจ่างขึ้นเล็กน้อย” พอเย่เทียนเหมยกล่าวจบ ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา