ขณะนี้ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าธรรมดา กำลังก้าวมาที่นี่อย่างเร่งรีบ พอเขาหยุดชะงักตรงหน้าประตูเล็กน้อยแล้ว ก็สาวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่รีบกลับมาจากวัดร้างนอกเมืองนั่นเอง
พอเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว ก็เดินผ่านลานบ้านสองสามแห่ง และหยุดลงตรงหน้าห้องพักแห่งหนึ่ง
ประตูห้องพักที่เย่เทียนเหมยเช่าอยู่ปิดสนิท ดูท่าอาจารย์อาผู้นี้คงยังไม่กลับมาจากภายนอก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ จะอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจึงกลับไปยังห้องพักของตนเอง และรอคอยอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลังจากสงบจิตได้แล้ว ก็นึกถึงคำพูดที่ผู้อาวุโสชุดเหลืองพูดขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นเขาก็เริ่มทำใจให้สงบ
ดูจากข่าวคราวที่ได้รับในตอนนี้ ผู้ที่หายตัวไปอย่างน่าประหลาดใจ ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทั้งยังเป็นผู้ที่มาซื้อทรัพยากร ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย พวกเขาคงพกหินจิตวิญญาณมาไม่น้อย ดังนั้นผู้ที่ลงมือกับพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพื่อหินจิตวิญญาณ ก็เป็นเพราะต้องการคน
หินจิตวิญญาณไม่ต้องพูดถึง ใครก็ตามที่ทราบว่ามีคนพกหินจิตวิญญาณมามากขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่ในเมื่อคนเหล่านั้นถูกส่งมาซื้อทรัพยากร จะต้องรู้ว่าไม่ควรแสดงสมบัติออกมาในสถานที่ไม่คุ้นเคย นอกเสียจากว่า……ฝ่ายตรงข้ามที่ทำการค้ากับพวกเขา จะเป็นคนลงมือเอง แต่หุบเขาผลึกทำเรื่องเช่นนี้ เพียงเพราะหินจิตวิญญาณแค่นี้หรอกหรือ?
หลิ่วหมิงรู้จากหอเก็บคัมภีร์ในนิกายปีศาจตั้งแต่แรกแล้วว่า ผู้ฝึกฝนอิสระนอกรีตบางส่วน มีวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ในการดึงเอาวิญญาณหรือโลหิตของผู้ที่มีชีวิตมาฝึกฝนวิชาปีศาจ แม้กระทั่งใช้กายเนื้อของพวกเขามาปรับแต่งเป็นหุ่น และอาวุธเวทย์ที่ใช้ในการโจมตี
เพราะผู้ฝึกฝนอิสระต้องการความแข็งแกร่ง ไม่ว่าวิธีการโหดร้ายเช่นใด ก็สามารถทำได้
จะเป็นหนึ่งในสองกรณีนี้ หรือกรณีอื่นๆ หรือไม่นั้น ยังไม่อาจให้คำตอบได้
แต่ภายใต้สถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ ตนเองคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เขาเก็บความคิดสับสนนี้ไว้ และเริ่มเข้าฌาน
……
ครึ่งวันต่อมา
“รีบออกมา ข้าจะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเย่เทียนเหมยดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบลุกไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยที่สวมชุดสีขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม
ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะทักทายผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ เย่เทียนเหมยก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมคลื่นสีคราม
“ไม่รู้ว่าอาจารย์อาเย่จะพาข้าไปพบผู้ใดกัน?” ระหว่างทาง หลิ่วหมิงแอบสงสัยอยู่ในใจ
แต่เขาคิดว่าข่าวที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสชุดเหลืองค่อนข้างมีประโยชน์ จึงใช้วิชาส่งเสียงบอกเย่เทียนเหมย
“อาจารย์อาเย่ หลายวันนี้ผู้น้อยได้ไปสืบหาข่าวที่เมืองกู่หนาน และพบเบาะแสบางอย่าง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ดำเนินการพันธมิตรทั้งสอง……อีกอย่าง ดูเหมือนว่าหุบเขาผลึกในเมืองกู่หนานจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้……”
ในขณะนั้น หลิ่วหมิงก็เล่าเรื่องราวที่สืบมาได้ในสองวันนี้ ให้เย่เทียนเหมยฟังอย่างละเอียด
เย่เทียนเหมยฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองมาถึงหน้าวิหารหินสูงใหญ่ที่อยู่ในเมืองกู่หนาน
วิหารหินสร้างมาจากหินยักษ์สีดำมืด ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง มันก็เปล่งแสงทรงกลดออกมาจางๆ คิดว่าในนั้นคงวางชั้นจำกัดไว้ไม่ใช่น้อย
นอกวิหารมีผู้พิทักษ์อยู่หลายคน แต่งตัวเหมือนกับผู้พิทักษ์ที่รักษาประตูเมือง เพียงแต่รูปร่างสูงใหญ่กว่า ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องลงมา ทำให้ชุดเกราะสีม่วงอ่อนที่สวมอยู่เปล่งประกายแสบตายิ่งนัก
ลำพังแค่กลิ่นไอที่แผ่อออกจากตัวของพวกเขา ก็ทำให้รู้ว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้ ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แม้กระทั่งมีบางคนที่เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้นแล้ว
หลิ่วหมิงแอบตกใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
เย่เทียนเหมยเดินมาด้านหน้าผู้พิทักษ์เหล่านี้ และส่งเสียงพูดคุยกับผู้ที่เป็นหัวหน้า จากนั้นผู้พิทักษ์คนนี้ก็กลับไปรายงานด้วยสีหน้านอบน้อม
เย่เทียนเหมยรอนิ่งๆ อยู่ที่เดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา