ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 337

สรุปบท ตอนที่ 337: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 337 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 337 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 337 เหมิงหนิง
ตอนที่ 337 เหมิงหนิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นได้ชัดว่าหน้าโรงเตี๊ยมคลื่นสีครามเงียบสงัดมาก นอกจากมีคนสองสามคนผ่านมาเป็นครั้งคราแล้ว แม้แต่พ่อค้าที่ซื้อขายสดก็ไม่มีซักคน

ขณะนี้ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าธรรมดา กำลังก้าวมาที่นี่อย่างเร่งรีบ พอเขาหยุดชะงักตรงหน้าประตูเล็กน้อยแล้ว ก็สาวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม

เขาก็คือหลิ่วหมิงที่รีบกลับมาจากวัดร้างนอกเมืองนั่นเอง

พอเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว ก็เดินผ่านลานบ้านสองสามแห่ง และหยุดลงตรงหน้าห้องพักแห่งหนึ่ง

ประตูห้องพักที่เย่เทียนเหมยเช่าอยู่ปิดสนิท ดูท่าอาจารย์อาผู้นี้คงยังไม่กลับมาจากภายนอก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ จะอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจึงกลับไปยังห้องพักของตนเอง และรอคอยอย่างเงียบๆ

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลังจากสงบจิตได้แล้ว ก็นึกถึงคำพูดที่ผู้อาวุโสชุดเหลืองพูดขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นเขาก็เริ่มทำใจให้สงบ

ดูจากข่าวคราวที่ได้รับในตอนนี้ ผู้ที่หายตัวไปอย่างน่าประหลาดใจ ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทั้งยังเป็นผู้ที่มาซื้อทรัพยากร ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย พวกเขาคงพกหินจิตวิญญาณมาไม่น้อย ดังนั้นผู้ที่ลงมือกับพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพื่อหินจิตวิญญาณ ก็เป็นเพราะต้องการคน

หินจิตวิญญาณไม่ต้องพูดถึง ใครก็ตามที่ทราบว่ามีคนพกหินจิตวิญญาณมามากขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่ในเมื่อคนเหล่านั้นถูกส่งมาซื้อทรัพยากร จะต้องรู้ว่าไม่ควรแสดงสมบัติออกมาในสถานที่ไม่คุ้นเคย นอกเสียจากว่า……ฝ่ายตรงข้ามที่ทำการค้ากับพวกเขา จะเป็นคนลงมือเอง แต่หุบเขาผลึกทำเรื่องเช่นนี้ เพียงเพราะหินจิตวิญญาณแค่นี้หรอกหรือ?

หลิ่วหมิงรู้จากหอเก็บคัมภีร์ในนิกายปีศาจตั้งแต่แรกแล้วว่า ผู้ฝึกฝนอิสระนอกรีตบางส่วน มีวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ในการดึงเอาวิญญาณหรือโลหิตของผู้ที่มีชีวิตมาฝึกฝนวิชาปีศาจ แม้กระทั่งใช้กายเนื้อของพวกเขามาปรับแต่งเป็นหุ่น และอาวุธเวทย์ที่ใช้ในการโจมตี

เพราะผู้ฝึกฝนอิสระต้องการความแข็งแกร่ง ไม่ว่าวิธีการโหดร้ายเช่นใด ก็สามารถทำได้

จะเป็นหนึ่งในสองกรณีนี้ หรือกรณีอื่นๆ หรือไม่นั้น ยังไม่อาจให้คำตอบได้

แต่ภายใต้สถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ ตนเองคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว

พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เขาเก็บความคิดสับสนนี้ไว้ และเริ่มเข้าฌาน

……

ครึ่งวันต่อมา

“รีบออกมา ข้าจะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเย่เทียนเหมยดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบลุกไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป

ขณะนี้ เย่เทียนเหมยที่สวมชุดสีขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม

ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะทักทายผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ เย่เทียนเหมยก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมคลื่นสีคราม

“ไม่รู้ว่าอาจารย์อาเย่จะพาข้าไปพบผู้ใดกัน?” ระหว่างทาง หลิ่วหมิงแอบสงสัยอยู่ในใจ

แต่เขาคิดว่าข่าวที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสชุดเหลืองค่อนข้างมีประโยชน์ จึงใช้วิชาส่งเสียงบอกเย่เทียนเหมย

“อาจารย์อาเย่ หลายวันนี้ผู้น้อยได้ไปสืบหาข่าวที่เมืองกู่หนาน และพบเบาะแสบางอย่าง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ดำเนินการพันธมิตรทั้งสอง……อีกอย่าง ดูเหมือนว่าหุบเขาผลึกในเมืองกู่หนานจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้……”

ในขณะนั้น หลิ่วหมิงก็เล่าเรื่องราวที่สืบมาได้ในสองวันนี้ ให้เย่เทียนเหมยฟังอย่างละเอียด

เย่เทียนเหมยฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองมาถึงหน้าวิหารหินสูงใหญ่ที่อยู่ในเมืองกู่หนาน

วิหารหินสร้างมาจากหินยักษ์สีดำมืด ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง มันก็เปล่งแสงทรงกลดออกมาจางๆ คิดว่าในนั้นคงวางชั้นจำกัดไว้ไม่ใช่น้อย

นอกวิหารมีผู้พิทักษ์อยู่หลายคน แต่งตัวเหมือนกับผู้พิทักษ์ที่รักษาประตูเมือง เพียงแต่รูปร่างสูงใหญ่กว่า ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องลงมา ทำให้ชุดเกราะสีม่วงอ่อนที่สวมอยู่เปล่งประกายแสบตายิ่งนัก

ลำพังแค่กลิ่นไอที่แผ่อออกจากตัวของพวกเขา ก็ทำให้รู้ว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้ ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แม้กระทั่งมีบางคนที่เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้นแล้ว

หลิ่วหมิงแอบตกใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

เย่เทียนเหมยเดินมาด้านหน้าผู้พิทักษ์เหล่านี้ และส่งเสียงพูดคุยกับผู้ที่เป็นหัวหน้า จากนั้นผู้พิทักษ์คนนี้ก็กลับไปรายงานด้วยสีหน้านอบน้อม

เย่เทียนเหมยรอนิ่งๆ อยู่ที่เดิม

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วหยุดพูดไปพลางๆ ก่อน วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญอยากถามเจ้า” ดูเหมือนเย่เทียนเหมยจะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอันซาบซึ้งใจของเหมิงหนิง นางโบกมือขัดจังหวะของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจ

“ท่านเซียนมีสิ่งใดอยากจะถาม ก็เอ่ยปากมาเถอะ เรื่องที่เหมิงหนิงทราบจะต้องบอกท่านอย่างแน่นอน” เหมิงหนิงพอจะรู้นิสัยของเย่เทียนเหมยอยู่บ้าง พอได้ยินเช่นนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับค่อยๆ พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา

แม้เขาจะรู้ว่าที่เย่เทียนเหมยช่วยชีวิตเขาในปีนั้น เป็นเพราะถือโอกาสสะดวกมือเท่านั้น แต่เขายังคงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก

มิเช่นนั้น ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้ กับพลังระดับผลึกของเขา ไม่จำเป็นต้องนอบน้อมกับเย่เทียนเหมยถึงเพียงนี้

“เรื่องที่ข้าถามไม่ใช่เรื่องอื่นใด คิดว่าเจ้าก็คงจะรู้แล้ว ช่วงหนึ่งปีมานี้ มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวหายตัวในเมืองกู่หนานจำนวนไม่น้อยใช่ไหม?” เย่เทียนเหมยถามเหมิงหนิงด้วยตาที่เป็นประกาย

“อืม! เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านเซียนเย่จะถามอะไรหรือ?” เหมิงหนิงไม่ได้ตอบคำถามเย่เทียนเหมยโดยตรง แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยๆ กล่าวออกมา

“หนึ่งในผู้สูญหายเป็นผู้ดำเนินการของพันธมิตรอวิ๋นชวนสองคน” เย่เทียนเหมยจ้องมองเหมิงหนิง และค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

พอเหมิงหนิงได้ยินเช่นนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าพันธมิตอวิ๋นชวนจะก่อตั้งได้ไม่นาน แต่หลังจากปรับกระบวนการของแต่ละนิกายในแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเขตทะเลชังไห่ที่รองมาจากราชวงศ์ชังไห่กับราชาปีศาจสมุทร

แม้ว่าหุบเขาผลึกจะติดต่อกับพันธมิตรอวิ๋นชวนไม่มาก แต่ย่อมไว้หน้ากลุ่มพันธมิตรนี้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นเขากับเย่เทียนเหมยก็รู้จักกันมาก่อน และรู้ถึงความน่ากลัวของนางดี

“ตอนนี้ข้าได้ตรวจสอบจนกระจ่างแล้ว ผู้ดำเนินการของพันธมิตรอวิ๋นชวนทั้งสอง เข้าเมืองกู่หนานเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เดิมทีพวกเขาคิดจะทำการค้ากับหุบเขาผลึกด้วย ไม่ทราบสหายเหมิงจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?” น้ำเสียงของเย่เทียนเหมยสูงขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าต้องการเตือนเหมิงหนิง

“อืม! ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าผู้ดำเนินของพันธมิตรทั้งสองก็หายตัวในเมืองด้วย มันช่างเหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าผู้ดำเนินการทั้งสอง ได้สร้างศัตรูอะไรไว้ในเมืองกู่หนานหรือไม่ บางทีอาจถูกศัตรูล้างแค้นก็เป็นได้” สีหน้าของเหมิงหนิงดูแปลกๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา

พอเย่เทียนเหมยได้ยิน ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา กลิ่นไออันน่าตกใจแผ่ออกจากร่างในทันที กลิ่นไอของนางดูแหลมคมราวกับคมกระบี่ และนางก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“เหมิงหนิง เจ้าคิดว่าการอธิบายเช่นนี้ จะทำให้ข้าเชื่อได้หรือ? หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้กระจ่าง เกรงว่าคนที่พันธมิตรจะส่งมาในครั้งหน้าคงไม่ใช่ข้าคนเดียว ประจวบเหมาะกับที่พันธมิตรเราเพิ่งก่อตั้งไม่นาน จะได้หาโอกาสแสดงพลังให้คนนอกดูบ้างแล้ว”

“ท่านเซียนอย่าได้เข้าใจผิดไป! ข้าได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเท่านั้น ข้าเพิ่งถูกทางหุบเขาส่งตัวมาที่นี่ได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้ ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากท่านเซียนเย่ไม่เชื่อ ก็ไปสอบถามดูได้ว่า ตั้งแต่ข้ามาประจำการเมืองนี้ ยังมีคนหายไปอีกหรือไม่!” เหมิงหนิงถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง

……………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา