และโล่คลื่นทะเลที่มีสามสิบเอ็ดชั้นจำกัด ก็เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในยามว่างของผู้คน
อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ ไม่เพียงแต่ประมูลขายด้วยราคาที่สูงถึงสองล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ แต่ข่าวที่ยอดฝีมือของกลุ่มอิทธิพลใหญ่สองกลุ่มลงมือกัน ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกมา
แม้แต่สิ่งที่ราชวงศ์ชังไห่กับราชาปีศาจสมุทรแย่งกันอย่างดุเดือด ก็ทำให้ผู้คนสนใจขึ้นมา
แต่หลังงานประมูลเสร็จสิ้น บรรดาเผ่าเจ้าสมุทรที่ได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นไป ก็ดูเหมือนจะหายตัวไปด้วย
ไม่เพียงแต่เท่านี้ ผู้ที่ประมูลอาวุธจิตวิญญาณในงานไปได้ ก็ไม่เคยปรากฏตัวในหุบเขาอีก
ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้ของประมูลไป ต่างก็ตระหนักถึงความปลอดภัยของอาวุธจิตวิญญาณ ถึงได้ซ่อนตัวอย่างลึกลับ
ด้วยเหตุนี้ มันยิ่งทำให้อาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ ดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
……
ในหอเปล่าเปลี่ยวที่สร้างติดภูเขาแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทา หน้าตาธรรมดาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ พลันลืมตาทั้งสองขึ้นมา ดวงตาของเขาดูเปล่งประกาย
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ประมูลโซ่ตรวนสะกดวิญญาณมาได้นั่นเอง
ตั้งแต่ออกจากห้องของเหยียนเจวี๋ยในวันนั้น ก็มีคนรออยู่หน้าประตูแต่แรกแล้ว หลังจากอธิบายเล็กน้อย ก็พาเขาเดินคดเคี้ยวไปตามทางใต้ดิน และผ่านระเบียงแห่งหนึ่ง จนมาถึงค่ายกลส่งตัวขนาดเล็ก หลังจากแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งของหุบเขาเหล็กอัคคี
พอเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงกลับรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากสงบจิตแล้ว ก็ปลอมตัวเป็นชายร่างผอม และกลับที่พักไปอย่างเงียบๆ
ในเมื่อโซ่ตรวนสะกดวิญญาณอยู่ในมือแล้ว เขาจึงไม่รีบร้อนไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่กลับทำการปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ก่อน จากนั้นค่อยออกเดินทาง
เพราะตอนนี้ งานประมูลเพิ่งจะเสร็จสิ้น ซึ่งไม่ใช่โอกาสอันดีในการไปจากหุบเขาเหล็กอัคคี
ตอนนี้หลิ่วหมิงทำจิตให้สงบ และฟื้นฟูกำลังกับพลังเวทย์จนถึงระดับสูงสุดแล้ว จากนั้นก็ทำหารปรับแต่งโซ่ตรวนสะกดวิญญาณในมือ
หลิ่วหมิงควักธงค่ายกลสีฟ้าออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาสองสามอัน และปักไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ในห้อง ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นธงค่ายกลก็หายไป
ผ่านไปสักพัก จะเห็นแสงทรงกลดสีฟ้าค่อยๆ หมุนวนอยู่ในห้อง จากนั้นก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้
พอเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมก็ปรากฏบนมือ พอตบมือข้างหนึ่งลงไป ฝากล่องก็เปิดออก เผยให้เห็นโซ่เล็กสีเงินที่มีอักขระประทับอยู่
แท้จริงแล้ว การปรับแต่งที่พูดถึงคือการนำเอาพลังจิต โลหิตบริสุทธิ์ และวิธีการล้ำลึกบางอย่างในการประทับตราของตนเองลงไป เพื่อที่ตนเองจะได้ควบคุม และหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นชิงร่างได้
แม้ว่าโซ่ตรวนสะกดวิญญาณจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ชั้นจำกัดที่ประทับอยู่ในนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก หลิ่วหมิงต้องใช้สมาธิอย่างสูง และเพื่อป้องกันการถูกคนแอบดู เขาถึงได้วางค่ายกลชั่วคราวนี้ไว้
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้โยนโซ่ตรวนสะกดวิญญาณขึ้นบนอากาศ จากนั้นก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่
ขณะเดียวกัน เขาก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และเริ่มร่ายคาถาออกมา
หมอกโลหิตที่กลายร่างมาจากโลหิตบริสุทธิ์จมลงบนโซ่สีเงิน อักขระเป็นชั้นๆ ที่ประทับอยู่บนนั้น เริ่มเปล่งแสงสีเงินแสบตา ขณะเดียวกัน ก็มีอักขระสีเงินจำนวนมากปรากฏออกมา อักขระสีเงินหมุนตัวติ้วๆ จากนั้นก็เริ่มก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระที่พร่ามัว
ค่ายกลอักขระค่อยๆ หมุนวนอย่างช้าๆ และปรากฏตัววับๆ แววๆ ตามจังหวะการร่ายคาถาของหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงใช้นิ้วข้างหนึ่งแตะหน้าผาก พลังจิตอันมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมา จากนั้นก็ม้วนตัวไปยังโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่อยู่กลางอากาศ
หลังจากที่มือทั้งสองทำท่ามือแปลกประหลาดออกมา ร่างของเขาก็แน่นิ่งไป
……
เขตป่าดงดิบที่อยู่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีร้อยกว่าลี้
ต้นไม้ในป่าต่างก็สูงยี่สิบถึงสามสิบจั้ง กิ่งและใบมีขนาดใหญ่ ทำให้ดูมืดอึมครึมและร่มรื่น และยังมีเสียงอสูรคำรามดังเข้ามาอยู่รำไร
เผ่าเจ้าสมุทรกลุ่มหนึ่ง ที่มีรูปร่างแตกต่างกันกำลังเดินอยู่ในป่าดงดิบ ในกลุ่มของพวกเขามีทั้งชายและหญิง และมีท่าทีระมัดระวังเป็นอย่างมาก มักจะสังเกตดูเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ รอบด้านอยู่ตลอดเวลา
พวกเขาก็คือลี่คุนและเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ที่ประมูลโล่คลื่นทะเลมาได้อย่างราบรื่น
“การเดินทางมาประมูลในครั้งนี้ นับว่าราบรื่นเป็นอย่างมาก แม้วัสดุล้ำค่าที่นำมาจะเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย แต่ได้โล่คลื่นทะเลมา ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
คนที่พูดก็คือ ‘ป้าอวี๋’ หญิงเผ่าเจ้าสมุทรที่มีคิ้วหนาๆ ผู้นั้น
“ฮูหยินหลาน อย่าได้ชะล่าใจไป แม้จะบอกว่าไม่มีทางพลาดอย่างเด็ดขาด และข้าก็ได้ใช้เคล็ดวิชาของเผ่าแปลงร่างให้คนอื่นๆ มีลักษณะเหมือนกับข้า ทั้งยังให้พวกเราแยกออกจากหุบเขาไปคนละทาง แต่ข้ามักจะรู้สึกว่า การลงมือของชิงฉินในงานประมูลอย่างหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด” ลี่คุนได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ผู้อาวุโสลี่ ใยต้องกังวลด้วยเล่า ก่อนหน้านั้น ท่านได้ใช้พลังจิตตรวจสอบไปหลายรอบแล้ว ด้วยพลังระดับผลึกของท่าน ยังไม่พบว่ามีเคล็ดวิชาอะไรประทับอยู่ ชิงฉินผู้นั้นเป็นแค่ปีศาจเร่ร่อนที่บุ่มบ่ามไร้มารยาท คาดว่าเขาคงไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้” ป้าอวี๋ทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา