หากมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่าชั้นจำกัดที่ล้อมอยู่รอบหอสั่นสะเทือนขึ้นมา ราวกับว่าถูกกระตุ้น
คนชุดดำคนแรกเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนขึ้นอย่างไม่ลังเล ยันต์สีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อ และกลายเป็นลำแสงสีเขียวกระพริบหายไปในนั้น
ครู่ต่อมา แสงทรงกลดสีเขียวจางๆ ปรากฏออกจากชั้นจำกัด จากนั้นก็มีคลื่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในที่สุดชั้นจำกัดก็แตกร้าวออกมา
เงาดำเงาหนึ่งจมหายเข้าไปในหอ และเงาร่างอีกสี่เงาก็ปรากฏตัวในหออย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ
เมื่อทั้งห้าเข้าไปในหอแล้ว กลับค้นพบว่าผู้ที่นั่งอยู่ในห้องดูสงบเป็นพิเศษ เขานั่งขัดสมาธิหลับตาสนิทอยู่บนเตียง ราวกับไม่รู้ตัวว่ามีคนบุกรุกเข้ามา
คนชุดดำคนแรกเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ตาข่ายขนาดใหญ่พุ่งออกจากมือ ขณะเดียวกันเสียงร่ายคาถาอันคลุมเครือก็ดังขึ้นมา
ตาข่ายยักษ์แปล่งลำแสงสีฟ้าออกมาชั้นหนึ่ง และขยายใหญ่จนมีขนาดจั้งกว่าๆ จากนั้นก็พุ่งไปยังร่างของผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่
คนเหล่านี้ลงมือได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแม้แต่น้อย หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง ก็แสดงสีหน้าโมโหออกมา
ร่างของผู้ที่ถูกปกคลุมไว้ เปล่งประกายกลายเป็นจุดแสง และสลายไป
“บัดซบ! เขาหนีไปแล้ว!” ชายฉกรรจ์ชุดดำคนแรก กัดฟันคำรามออกมา สีหน้าดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นค่ายกลสีเขียวปรากฏขึ้นบนมือ พอเขาทำท่ามือ อักขระเล็กๆ แถวหนึ่ง ก็จมหายไปในแผ่นค่ายกล
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น คนชุดดำทั้งห้าก็รีบออกไปจากหออย่างรวดเร็ว
…….
ในขณะเดียว หลิ่วหมิงกลับอยู่ในป่าที่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีหลายสิบลี้แล้ว และกำลังพุ่งไปยังทิศทางแห่งหนึ่ง
พอได้ยินเสียงต่อสู้ของเผ่าเจ้าสมุทรกับชิงฉินและชื่อลี่ เขาก็เล็ดลอดออกจากชั้นจำกัดที่เขาแอบเปิดไว้ในก่อนหน้า และทิ้งยันต์แปลงเงาไว้ในห้อง
ยันต์นี้เป็นยันต์ระดับสูงที่เขาใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าจะไม่มีพลังการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถหลอกตาผู้คนได้อย่างน่ามหัศจรรย์
แม้ว่าเงาร่างที่เขาทิ้งไว้ จะสามารถปล่อยกลิ่นไอและพลังคลื่นพลังจิตเหมือนร่างจริงได้ชั่วคราว แต่ก็ยากที่คนจะสามารถแยกแยะได้
หลังออกจากหุบเขาเหล็กอัคคี หลิ่วหมิงหยิบยันต์สีเหลืองมาแปะลงบนตัวผืนหนึ่ง ทันใดนั้น หมอกสีเหลืองก็แผ่กระจายออกมา น้ำหนักตัวของเขาเบาลง จากนั้นก็พุ่งไปทางป่าดงดิบอย่างรวดเร็ว
ที่จริงหลิ่วหมิงสามารถกระตุ้นเรือกลเหาะออกเดินทางได้ แต่หากทำเช่นนั้นล่ะก็ มันดูเตะตาเกินไป อาจถูกคนของเหยียนเจวี๋ยค้นพบได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องอาศัยพลังของยันต์ อำพรางตัวในการหลบหนี
ในระหว่างทาง เขาใช้พลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าไม่มีใครตามมา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
แต่ขณะที่พุ่งออกไปไม่ถึงสิบกว่าลี้ เขากลับต้องหดรูม่านตาลง และหยุดชะงักในทันที
ห่างออกไปไม่ไกล ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีแดง มีอักขระสีแดงจางๆ อยู่ตรงแก้มทั้งสอง กำลังจ้องมองหลิ่วหมิงราวกับนายพรานที่เห็นสัตว์ติดกับดักของตนเอง
เขาคือเหยียนเจวี๋ย หนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในชังไห่นั่นเอง
และข้างตัวเขายังมีหุ่นนักรบสีทองอร่ามอยู่สองตัว
“สหายรีบร้อนไปจากหุบเขาเช่นนี้ เพื่อไปเอาขนแข็งหรอกหรือ?” เหยี๋ยนเจวี๋ยกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยกำลังลองไปเสี่ยงดวงดู จะได้นำมาแลกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงของท่าน” หลิ่วหมิงมองเหยียนเจวี๋ยทีหนึ่ง สีหน้าเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าเหยียนเจวี๋ยสะกดรอยตามเขามาได้อย่างไร
อย่างที่รู้ว่า เขาใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งตรวจดูมาตลอดทาง ในระหว่างนั้นก็ไม่ค้นพบร่องรอยของใครเลย
เขาย่อมไม่รู้ว่า โซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่เหยียนเจวี๋ยมอบให้เขาในวันนั้น ถูกเหยียนเจวี๋ยแอบนำไปแช่น้ำมันของอสูรที่มีชื่อว่า ‘ชะมดหนู’ มาก่อน
เพียงแค่หลิ่วหมิงพกอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ติดตัว ในระยะเวลาสามเดือนนี้ ไม่อาจหลุดพ้นการสะกดรอยของชะมดอีกตัวที่เหยียนเจวี๋ยเลี้ยงไว้ได้
“อ๋อ! ดูจากสีหน้าของสหาย ดูเหมือนจะมีความมั่นใจว่าจะได้วัสดุชิ้นนี้มา” เหยียนเจวี๋ยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย และดูเหมือนจะกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพูดล้อเล่นแล้ว การค้นหาขนแข็งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มิเช่นนั้นคงไม่ได้มาแค่สองเส้น ไม่แน่การไปครั้งนี้อาจจะได้อย่างอื่นมาก็ได้ หากท่านไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าน้อยขอลา!” หลิ่วหมิงจ้องมองเหยียนเจวี๋ยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ฮึ! ดูท่าสหายจะชอบใช้วิธีการบีบบังคับ ข้าแค่อยากได้วัสดุที่อยู่บนตัวสหายเท่านั้น เพียงแค่ยอมมอบมันให้ข้าแต่โดยดี ข้าไม่เพียงแต่จะป้องกันความปลอดภัยให้เจ้า แต่ยังมีของล้ำค่าอื่นๆ มาแลกด้วย” เหยียนเจวี๋ยฟังจบก็ตีหน้าขรึมลง รอยยิ้มที่แฝงอยู่ในแววตาหายไปหมดสิ้น
หลิ่วหมิงได้ยินก็หน้าขรึมลงเช่นกัน
เขาเองก็ขี้เกียจพูดจาไร้สาระกับเหยียนเจวี๋ย พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่จันทราทองคำก็โผล่ออกมา พอโบกมันเบาๆ ก็มีเสียงดังก้องฟ้า
เหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปยังหุ่นนักรบทั้งสองเบาๆ
อักขระสีทองสองตัวพุ่งออกจากมือของเขา และจมหายไปตรงระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบทั้งสอง
ทันใดนั้น หุ่นนักรบทั้งสองเริ่มเปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา ดวงตาเปล่งประกายของมันมองมายังหลิ่วหมิง และจับตำแหน่งของเขาไว้
“ไป!”
ท่ามกลางเสียงตะคอกอันดังของเหยียนเจวี๋ย หุ่นนักรบทั้งสองก็เริ่มสาวเท้าไปหาหลิ่วหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา