แม้เย่เทียนเหมยจะรู้สึกอายอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับมาสดใสเหมือนแต่ก่อนแล้ว ขณะเดียวกัน ร่างกายของนางก็เยือกเย็นผิดปกติ และปล่อยกลิ่นไอออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าอีกซักพักร่างของนางก็จะกลายเป็นกระบี่อันแหลมคม
หลิ่วหมิงรับรู้ได้ในทันที ถ้ากอดนางต่อไปล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกฟันเป็นชิ้นๆ เขาจึงคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว และพุ่งถอยไปสิบกว่าจั้งจนไปอยู่ที่บริเวณทางเข้าพอดี
หากเย่เทียนเหมยลงมืออีกเพียงเล็กน้อย เขาก็จะหนีไปอย่างไม่ลังเล
“ฮึ! แม้จะรู้แต่แรกว่าเจ้าใจกล้าไม่เบา แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าล่วงเกินข้าเช่นนี้ เจ้าว่าข้าควรจัดการกับเจ้าอย่างไรดี มันถึงจะระบายความโมโหในใจข้าได้” เย่เทียนยืนตัวตรงแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็น อาการแปลกๆ บนใบหน้าหายไปจนหมดสิ้น
พลังอันน่าตกใจถูกแผ่ออกมา พริบตาเดียว นางก็กลับมาเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่หยิ่งยโสและเย็นชาเช่นเดิม
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็อ้าปากค้าง และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ยินดีรับโทษทุกประการ” จากนั้นก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
แต่เขากลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
เพียงแค่นางไม่กระตุ้นกระบี่บินออกมาสังหารเขา ก็อธิบายได้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงล้มเลิกความคิดที่จะสังหารเขาแล้ว อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไว้ได้
“ฮึ! ยินดีรับโทษ…… ได้! เจ้าคุ้มครองข้าให้ดีๆ หลังจากนี้หนึ่งเดือนกว่า ข้าจะรีบรักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูพลังเวทย์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เย่เทียนเหมยแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา ผ่านไปซักพักถึงสั่งด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
เวลาต่อมา เย่เทียนเหมยหยิบแผ่นค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และวางค่ายกลค่ายชั่วคราวที่มีสีเงินจางๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปในนั้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และนั่งขัดสมาธิลงไป ดวงตาทั้งเปล่งประกายเย็นสะท้าน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นางทำท่ามือด้วยมือเดียว พอค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงสีเงินก็ปรากฏออกมา อักขระหมุนวนอยู่บนม่านแสง และปกป้องนางไว้
หลิ่วหมิงมองไปยังม่านแสงสีเงิน และแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็รีบส่ายหน้าแล้วดึงสายตากลับมา จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงที่เดิมเพื่อทำการฝึกฝนเช่นกัน
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปครึ่งเดือนกว่าๆ
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยนั่งอยู่ในค่ายกล ส่วนหลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล มีกลิ่นไอแข็งแกร่งของเย่เทียนเหมยแผ่ออกมาจางๆ
เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป กลิ่นไอนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินบริเวณค่ายกล กลายเป็นระลอกคลื่นที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นได้ และค่อยๆ ทะลักเข้าไปในนั้น
ขณะนี้หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาโดยฉับพลัน และมองไปยังค่ายกล ขณะเดียวก็แสดงสีหน้าขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้
ค่ายกลฟื้นฟูที่เย่เทียนเหมยวางไว้ ออกจะเกิดการเคลื่อนไหวมากไปหน่อย!
ปราณจิตวิญญาณรอบตัวเขา ต่างก็ถูกนางดูดเข้าไปหมด ทำให้เขาไม่สามารถทำจิตให้สงบได้
แต่พอรับรู้ถึงกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่อยู่ในค่ายกล ไม่รู้ทำไมหลิ่วหมิงถึงรู้สึกเบิกบานใจ
“คิดว่าพลังของนางคงฟื้นฟูมามากกว่าครึ่งแล้ว”
เขาจ้องมองอักขระที่หมุนวนบนม่านแสงสีเงิน และพูดพึมพำออกมา สีหน้าเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย
เขาเองก็ไม่เคยค้นพบว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น ตำแหน่งของเย่เทียนเหมยที่อยู่ในใจเขา ก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่หลิ่วหมิงหลับตาฝึกฝน ฉากอันหอมหวานในวันนั้น มักจะปรากฏในสมองของเขาอยู่เสมอ
แม้หลิ่วหมิงจะเคยผ่านความทุกข์ทรมานและความล้มเหลวที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้ แต่กลับไม่เคยสัมผัสหญิงสาวอย่างแนบชิดเช่นนี้มาก่อน
ทรวดทรงสวยงามและนุ่มนวลของเย่เทียนเหมย ตราตรึงอยู่ในสมองเขาโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะฉากที่ทั้งสองกอดกันแนบชิด ยังติดตามาจนถึงวันนี้ ทำให้หลิ่วหมิงยากจะลืมเลือนได้
เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อระงับความร้อนรุ่มในใจ จากนั้นก็มองไปยังค่ายกลด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะสามารถฟื้นคืนพลังได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่
ตอนที่เขาพบเย่เทียนเหมยนอกหุบเขาเหล็กอัคคีนั้น เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นด้วยลักษณะนิสัยของนาง หากไม่จำเป็นจริงๆ คงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้น้อยอย่างเขาแน่นอน
และจากนั้นผู้อาวุโสคิ้วดำก็ตามไล่ล่ามาตลอดทาง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อรักษาชีวิตของทั้งสองไว้ นางฝืนกระตุ้นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ออกมา จนทำให้ผู้อาวุโสคิ้วดำได้รับบาดเจ็บและร่นถอยไป
ต่อมาก็หมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นขึ้นมาก็โจมตีหลิ่วหมิงด้วยความโมโห
เย่เทียนเหมยเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน ร่างกายก็ไม่อาจแบกรับความทรมานนี้ได้
หากได้รับอันตรายถึงจุดสำคัญ และทิ้งภัยแฝงที่ไม่อาจรู้ได้ ต่อไประดับการฝึกฝนอาจจะลดลง หรืออาจจะไม่ก้าวหน้าก็เป็นไปได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา