ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 371

สรุปบท ตอนที่ 371: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 371 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 371 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 371 ราชาปีศาจสมุทรปรากฏตัว
ตอนที่ 371 ราชาปีศาจสมุทรปรากฏตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงได้ดูจนมุมเช่นนี้!”

พอหลิ่วหมิงเห็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจำนวนมาก กำลังหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ แม้เขาจะมีจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่ก็รู้สึกหวาดผวาอย่างอดไม่ได้

ขณะที่แสงเหล่านี้ปรากฏตัวตรงขอบฟ้าได้ไม่นาน ก็มีเสียงดังก้องมาจากด้านหลังของพวกเขา จากนั้นแสงสีฟ้าที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ม้วนตัวออกมา มันบุกรุดมาด้านหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่าลำแสงตรงหน้าเลย ราวกับว่ากำลังไล่กวดกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า

ในขณะนั้นเอง มีเสียงตื่นตระหนกตกใจดังมาจากคนสองสามคนที่อยู่ในลำแสงท้ายสุด

“อย่า……อย่าเพิ่งลงมือ ข้ายอมจำนน……”

พวกเขาพูดยังพูดไม่ทันจบ ลำแสงของกลุ่มคนที่อยู่ตรงท้ายก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการจะหยุด

แต่แสงสีฟ้าที่อยู่ด้านหลังกลับดูเหมือนไม่คิดจะหยุดเลยแม้แต่น้อย กลิ่นไอของมันยังคงพุ่งเข้ามาราวกับทะเลที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา พอมีเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วฟ้าสีคราม แสงสีฟ้าก็กลายเป็นคลื่นยักษ์โหมซัดสาดใส่พวกเขา

คนที่อยู่ในนั้นส่งเรียงร้องอย่างเวทนาในทันที ราวกับว่าได้พบเจอเรื่องอะไรบางอย่างที่น่ากลัวจนถึงขีดสุด จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีกเลย

กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้ากลับพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องราวกับไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ แต่สีหน้าของพวกเขาดูหวาดผวายิ่งกว่าเดิม

แม้หลิ่วหมิงจะมีสีหน้าสงบเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่กลับใจเต้นโครมคราม และทำการคาดเดาได้อย่างลางๆ

เย่เทียนเหมยที่อยู่ด้านข้างกลับตาเป็นประกาย นางอ้าปากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นลำแสงสีเงินก็เปล่งประกาย กระบี่บินสีเงินถูกปล่อยออกมา และขยายตัวกลางอากาศจนมีขนาดใหญ่หลายจั้ง

นางตะคอกเสียงออกมา ขณะเดียวกันมือทั้งสองก็ปล่อยวิชาออกมา หลังจากที่นางสะบัดแขนเสื้อ ร่างของทั้งสองก็ไปปรากฏบนกระบี่ยักษ์

กระบี่ยักษ์เปล่งประกายแสงสีขาวเงิน และมีอักขระวนเวียนอยู่ไม่หยุด หลังจากสั่นสะท้านเล็กน้อย มันก็กลายเป็นสายรุ้งยาวเข้าร่วมการหลบหนีในครั้งนี้อย่างบ้าคลั่ง

ในส่วนลึกของแสงสีฟ้าที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้า ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวใช้พลังจิตกวาดดูฉากนี้จากที่ไกลๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย และขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ บริเวณที่เขาอยู่ยังมีเงาร่างพร่ามัวอยู่สองสามเงา ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกน้องของเขา

เมื่อเขาละสายตาออกมาจากพวกหลิ่วหมิงทั้งสองแล้ว เท้าขวาก็แตะไปด้านหน้าเบาๆ แสงสีฟ้าบริเวณนั้นกระเพื่อมออกไปราวกับน้ำทะเล และม้วนตัวไปด้านหน้า

เดิมทีทะเลแสงสีฟ้ากลางอากาศที่มีอานุภาพอันน่าตกใจอยู่แล้ว กลับมีอานุภาพมากขึ้นกว่าเดิม

ชายหนุ่มที่เดินเล่นอยู่บนนั่นดูเหมือนจะเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แต่กลับพุ่งออกไปไกลหลายสิบจั้งภายในเวลาไม่นาน

หลังจากที่เย่เทียนเหมยและหลิ่วหมิงเข้าร่วมการหลบหนีแล้ว กลุ่มคนที่หนีอยู่ด้านหน้า นอกจากผู้อาวุโสชุดดำตรงหน้าที่ตาเป็นประกายแล้ว ผู้อาวุโสระดับผลึกของวังเพลิงดำคนอื่นๆ ก็ยังกระตุ้นความเร็วพุ่งไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย

แต่พอหงซานกับเซียนเซิ่งจีเห็นเย่เทียนเหมย ก็ดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แต่หลังยิ้มอย่างขมขื่นแล้ว ก็ส่ายหน้าแล้วไม่มองมาทางด้านนี้อีก

และเจียหลานที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในลำแสงเดียวกัน หลังจากมองเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ส่วนท้ายของกระบี่ ดวงตาที่มืดมนกลับเผยแววประหลาดใจออกมา

เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปหลายชั่วยาม ด้วยเหตุที่กระตุ้นพลังเวทย์เป็นเวลานาน บวกกับระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ตอนนี้กลุ่มคนที่หลบหนีอยู่ ก็ทิ้งระยะห่างกันมาก และม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านหลัง ก็ตามมาอย่างไม่เลิกรา

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มคนด้านหลังที่ค่อนข้างอ่อนแอ เพียงแค่ไม่ระมัดระวังเล็กน้อยหรือปล่อยพลังเวทย์ไม่ต่อเนื่องทำให้ความเร็วลดลง ก็จะถูกแสงสีฟ้าครอบคลุม

คนที่ถูกแสงสีฟ้ากลืนกิน บ้างก็ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ บ้างก็ส่งเสียงออกมาอย่าเวทนาราวกับมีปีศาจมาก่อกวน พอเสียงนี้เข้าหูคนด้านหน้า พวกเขาต่างก็รับรู้ได้ถึงอันตราย แม้จะไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า แต่กลับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันน่ากลัวที่ค่อยๆ ลุกลามเข้ามา

ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวที่อยู่ท่ามกลางแสงสีฟ้า ดูเหมือนจะหมดความอดทนในการไล่ตามอีกต่อไป

เขาหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นก็อ้าปากพ่นหมอกควันสีฟ้าออกมา อากาศตรงหน้าถูกหมอกควันปกคลุมไว้ในพริบตา เพียงแค่เขายื่นแขนออกไปด้านหน้า หมอกควันสีฟ้าก็พวยพุ่งหดตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวหมอกควันก็หายไป ธงเล็กๆ งดงามละเอียดอ่อนที่เปล่งแสงสีฟ้าสลัวๆ ปรากฏออกมา ดูเหมือนว่าจะมีอะไรสีทองบางอย่างปักอยู่บนธง

และพอธงปรากฏออกมา มันก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้วตกลงบนมือของชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล

ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวจ้องมองด้านหน้าอย่างเย็นชา พอเขาดีดนิ้วไปบนธง ชั้นสีฟ้าก็ลอยออกจากผิวธง จากนั้นนิ้วมือของเขาก็เปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อส่งพลังออกไป

ธงเล็กปล่อยลำแสงสีฟ้าแสบตาออกมา มันขยายตัวตามแรงลมอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดสิบกว่าจั้ง อักขระสีฟ้าจางๆ หมุนวนอยู่บนธง

หลังจากธงขยายใหญ่ขึ้นมา แสงสีฟ้าบริเวณนี้ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ

“ทั้งหมดจงหยุด!”

คำพูดเฉยเมยดังมาจากท่ามกลางแสงสีฟ้า

พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวสะบัดมือ ภายใต้การกระตุ้นของธงยักษ์ ม่านแสงสีฟ้าก็ม้วนตัวไปด้านหน้าด้วยเสียงที่ดังราวกับเสียงฟ้าร้อง

พอมันพร่ามัว แสงสีฟ้าก็โหมซัดสาดใส่คนด้านหน้าราวกับทะเลอันกว้างใหญ่

พอกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเห็นแสงสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับ ก็ค้นพบว่าร่างของตนเองอยู่ในพื้นที่กว้างโล่งขนาดใหญ่ลี้กว่าๆ พื้นที่รอบด้านล้วนเป็นสีฟ้าเหมือนที่เห็นในตอนแรก ม่านแสงสีฟ้ารำไรกักขังพวกเขาไว้ในนั้น

พอคนทั้งหมดเห็นเช่นนี้ ต่างก็แสดงสีหน้าหวาดผวา และมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

ขณะนี้ราชาปีศาจสมุทรกลับยังคงมีท่าทีเฉยๆ พอแสงสีฟ้าตรงด้านหลังเปล่งประกาย ก็มาร่างสี่เงาปรากฏออกมา นอกจากชิงฉินกับชื่อลี่แล้ว ผู้อาวุโสคิ้วดำก็ยืนอยู่ในนั้น ซึ่งเขาก็คือผู้อาวุโสหลิวที่ตามล่าเย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้า

เพียงแต่ว่าร่างครึ่งหนึ่งที่ถูกฟันขาดไป ได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว ดูไม่ออกว่าเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน เขาจ้องมองหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยด้วรอยยิ้มอันดุร้าย

เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ดวงตาอันงดงามของนางก็เปล่งประกายเย็นยะเยือก หลิ่วหมิงกลับหดรูม่านตา และแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่

พออู่เหยียนประมุขวังเพลิงดำเห็นร่างของราชาปีศาจสมุทร และผู้อาวุโสผมขาวที่ใส่ชุดคลุมสีม่วง ก็หลุดปากออกมาด้วยความตกใจ

“เจ้าหุบเขาซุน! ท่านมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร!”

พอกล่าวจบ อู่เหยียนก็ละสายตาออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด

‘เจ้าหุบเขาซุน’ ได้ยินกลับหัวเราะเบาๆ หลังจากมองดูราชาปีศาจสมุทรตรงหน้าแล้ว ก็กล่าวออกมา

“มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ข้าสวามิภักดิ์ราชาปีศาจสมุทรมาหลายปีแล้ว เพียงแค่เจ้าไม่รู้เท่านั้น!”

“อะไรนะ! ท่านกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าหากผู้อาวุโสท่านอื่นในหุบเขาผลึกรู้เข้า จะร่วมมือกันสังหารท่านหรอกหรือ!”

แม้อู่เหยียนจะคาดเดาได้แต่แรก แต่พอได้ยินเจ้าหุบเขาผลึกกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ก็รู้สึกตกตะลึงมาก

เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า เจ้าหุบเขาผลึกที่เป็นหนึ่งในสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ระดับเดียวกับเขา จะยอมอยู่ใต้บัญชาผู้อื่น

“ในหุบเขาผลึก ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อราชาปีศาจสมุทร ล้วนถูกสังหารไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ในหุบเขาจะมีใครกล้าฝ่าฝืนอีกเล่า?”

เจ้าหุบเขาผลึกจ้องมองอู่เหยียนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ต่อมาก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ และไม่กล่าวอะไรออกมาอีก

ประมุขวังเพลิงดำได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง

ขณะนี้ ผู้อาวุโสหลิวที่อยู่ด้านข้างจ้องมองเย่เทียนเหมยด้วยแววตาดุร้าย จากนั้นก็กระพริบกับราชาปีศาจสมุทรเบาๆ

พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวได้ยิน ก็ตาเป็นประกาย ขณะเดียวกันก็เงยหน้ามองเย่เทียนเหมยสองสามที และพยักหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่

……………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา