ต่อให้จะเจอเขตแร่ที่มีหินแร่รวมตัวกันมาก แต่อาศัยกำลังคนแค่คนเดียว และอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พลังเวทย์ถูกยับยั้งเช่นนี้ ลำพังแค่การผ่าผนังหินอันแข็งแกร่ง ก็เป็นเรื่องที่เปลืองแรงและเวลามาก
ที่สายแร่แห่งนี้ถูกทาสเหมืองแร่ละทิ้ง เป็นเพราะว่าพอขุดมาถึงที่นี้แล้ว กลับค้นพบว่าหินแร่มีคุณสมบัติธรรมดา หรือไม่ก็มีปริมาณไม่เพียงพอ ถึงได้ตัดใจละทิ้งไป
แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว มันกลับเป็นสถานที่ที่หาได้ยากยิ่ง
ประการแรก สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากสายแร่หลักมาก และยังลับตาคนด้วย ประการที่สอง ถ้ำเหมืองแร่ที่ถูกทอดทิ้งก็ไม่ค่อยดึงความสนใจจากผู้คน
ด้วยเหตุนี้ พอเขาค้นพบสถานที่แห่งนี้ ก็เริ่มลงมือสร้างที่พักชั่วคราวให้ตนเองทันที แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ลงมือขุดหาหินแร่แต่อย่างใด
แต่กลับรีบปล่อยแมงป่องกระดูกออกมา หลังจากใช้พลังจิตสั่งมันสองสามประโยคแล้ว ก็หันกลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำหิน
ก่อนหน้านั้นเขาสูญเสียพลังเวทย์ไปกับการสำรวจและขุดเจาะไปไม่น้อย ดังนั้นจึงต้องฟื้นฟูก่อนสักรอบหนึ่งแล้วค่อยวางแผนการต่อไป
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงหยิบหินจิตวิญญาณระดับกลางออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วนสองก้อน และใช้มือทั้งสองกำมันไว้ข้างละก้อน เพื่อเริ่มดูดซับปราณจิตวิญญาณจากหินจิตวิญญาณ ขณะเดียวกันก็ฟื้นฟูพลังเวทย์ในตัวไปด้วย
จากนั้นหินจิตวิญญาณในมือหลิ่วหมิงก็เริ่มเปล่งแสงนุ่มนวลออกมาจางๆ และตัวเขาเองก็ค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลงเพื่อเตรียมเข้าฌาน
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ดูใสแจ๋วราวกับน้ำ แม้พลังเวทย์และพลังภายในร่างจะไม่ได้ฟื้นฟูจนถึงขีดสุด แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านั้นมาก
พอเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว มือข้างหนึ่งก็หยิบโอสถถอนพิษที่ได้มาจากตลาดในโลกภายนอกออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาทาน จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่าง เพื่อลองขับพิษราชาปีศาจสมุทรและกลุ่มแสงโลหิตแปลกประหลาดที่อยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ
ตั้งแต่ถูกชิงฉินวางชั้นจำกัดแปลกประหลาดทั้งสองไว้ในร่าง แม้ภายนอกจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เขากลับรู้สึกร้อนอกร้อนใจมาก
ให้ชีวิตอยู่ในกำมือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้เป็นอันขาด
ก่อนหน้าที่อยู่บนเรือเหาะยักษ์ของราชาปีศาจสมุทร แม้หลิ่วหมิงจะเคยลองขับไล่สิ่งที่อยู่ในร่างให้ออกไป แต่เป็นเพราะถูกค่ายกลเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เขาย่อมไม่กล้าทำอย่างสุดกำลัง ทำได้เพียงแค่ทดลองขับไล่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตั้งแต่ออกจากเรือเหาะจนมาถึงสายแร่ทะเลลึกแห่งนี้ เขาก็ยังหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้อยู่ตัวคนเดียว และยังหาสถานที่ที่ค่อนข้างเร้นลับได้แล้ว ดังนั้นเขาย่อมทำทุกวีถีทาง ขณะเดียวกันก็เตรียมอาศัยพลังของค่ายกลกับโอสถ เพื่อใช้พลังทั้งหมดทำลายชั้นจำกัดภายในร่าง
หลิ่วหมิงร่ายคาถาและทำท่ามืออยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ออกไปรอบด้านติดต่อกัน
ค่ายกลหลากสีสิบกว่าอันที่อยู่บริเวณนั้น กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อักขระสีขาวจำนวนมากลอยขึ้นมาจากตำแหน่งที่ธงค่ายกลหายไป หลังจากที่มันเชื่อมโยงกันจนเป็นลูกโซ่ ค่ายกลสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนพื้นทันที
พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ผลึกหินระดับกลางจำนวนมากก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และค่อยๆ หล่นลงไปในรอยเว้าที่อยู่ขอบค่ายกล และโผล่ออกมาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เมื่อทำทุกอย่างเหล่านี้เสร็จสิ้น สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปติดต่อกัน จากนั้นก็ทำท่ามือซับซ้อน และปล่อยพลังเข้าไปในค่ายกล
ค่ายกลค่อยๆ หมุนวน แสงสีขาวพุ่งยิงออกไปถักทอกันกลางอากาศ ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ก่อตัวเป็นตาข่ายสีขาวลอยอยู่เหนือศีรษะของหลิ่วหมิง
แม้ตาข่ายจะมีขนาดแค่จั้งกว่าๆ แต่ก็ปกคลุมด้านบนจนดูขาวสลัวไปหมด
เป็นเพราะมีหอยสังข์ย่อส่วน หลิ่วหมิงจึงมีโอสถกับหินจิตวิญญาณเหล่านี้ติดตัว แต่เพราะว่าพื้นที่ภายในหอยสังข์ย่อส่วนมีจำกัด นอกจากหินจิตวิญญาณระดับสูงไม่กี่ก้อนแล้ว ที่เหลือก็เป็นหินจิตวิญญาณระดับกลางจำนวนไม่มาก
ส่วนหินจิตวิญญาณอื่นๆ ส่วนหนึ่งถูกเขาใช้ซื้อธงค่ายกล ยันต์จิตวิญญาณ และโอสถไปแล้ว และส่วนที่ไม่สามารถใส่ในหอยสังข์ย่อส่วนได้ ก็ถูกใส่ลงไปในผลึกเก็บของกลมๆ และถูกผู้พิทักษ์ค้นไปจนหมด ดีที่มันสามารถใช้หลอกล่อพวกเขาได้
แม้ตอนนี้เขาจะวางค่ายกลได้สำเร็จ แต่พอมันหมุนวนขึ้นมา ก็ไม่อาจรับพลังจากภายนอกมาเสริมได้ ด้วยเหตุนี้จึงสิ้นเปลืองหินจิตวิญญาณมากกว่าโลกภายนอก
หลิ่วหมิงรู้แก่ใจดีว่า พอค่ายกลถูกกระตุ้นมันก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา