สรุปตอน ตอนที่ 394 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
ตอน ตอนที่ 394 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
และทางเดินบริเวณที่เขาอยู่ ยังคงอยู่ห่างจากสายแร่หลักค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้จึงสามารถจินตนาการได้ว่า ในเขตอื่นๆ ที่มีหินแร่ค่อนข้างมาก คงจะมีอสูรโฉดปรากฏตัวบ่อยกว่าบริเวณที่เขาอยู่
อสูรโฉดหลายตนที่หลิ่วหมิงเผชิญมาตลอดสี่เดือนนี้ ส่วนมากจะเป็นเหมือนกับที่พบในครั้งแรก ซึ่งอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่ก็มีหลายตนที่อยู่ระดับของเหลวขั้นกลาง
หลังจากได้สัมผัสกับมันหลายครั้ง เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วอสูรโฉดไม่ได้มีรูปแบบเดียว นอกจากที่ดูคล้ายหมาป่ายักษ์ในตอนแรกแล้ว ยังมีที่คล้ายกับเสือดาว แมว และสุนัขเป็นต้น และต่างก็มีขนาดตั้งแต่สองสามฉื่อไปจนถึงสิบกว่าจั้ง ซึ่งมีเขาอยู่บนหัวหนึ่งคู่เช่นกัน มีลายพาดกลอนสีต่างๆ อยู่เต็มตัว ร่างของมันแข็งแกร่งมาก และยังสามารถต้านพิษได้ระดับหนึ่ง
ภายใต้การร่วมมือระหว่างหลิ่วหมิงกับแมงป่องกระดูก ทำให้สังหารอสูรโฉดได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ นอกจากกระดูกแล้ว ตอนนี้เขาก็มีเนื้อแห้งเก็บอยู่ไม่น้อย เขาทานมันอย่างต่อเนื่องจนทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้ามาที่นี่ใหม่ๆ เล็กน้อย
วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาจากเขตแลกเปลี่ยน เขาก็ทานโอสถถอนพิษของเดือนนั้น และนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ
เขาจ้องมองพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อที่อยู่ด้านนอกด้วยตาที่เป็นประกาย สีหน้าดูเหมือนหวนคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่
เขาถูกราชาปีศาจสมุทรจับมาไว้สถานที่แห่งมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เขานึกถึงตอนที่เดินทางมากับเย่เทียนเหมย ตั้งแต่ออกจากอวิ๋นชวน และข้ามทะเลชังไห่มาจนถึงเกาะตะพาบน้ำ ทั้งหมดนี้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
และฉากอันหวานซึ้งในหกเดือนก่อนนั้น ยิ่งทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกราวกับฝันไป
พอตื่นจากฝันหญิงงามก็ไม่อยู่แล้ว ส่วนตนเองกลับต้องมาอยู่ในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเล ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้พบเจอนางอีกเมื่อใด สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงเผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงถึงถอนใจออกมา และพูดพึมพำด้วยด้วยความเศร้าใจ
หลิ่วหมิงใจลอยอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เรียกสติกลับมาในที่สุด
เมื่อเขาสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็เริ่มคิดไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ในการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ในเมื่อตอนนี้เขาหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ก็สามารถพิจารณาถึงวิธีการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างเป็นรูปธรรมได้แล้ว
สำหรับเขาแล้ว การหลบหนีในตอนที่ยังมีหินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวทย์อยู่ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่สุด มิเช่นนั้น หากรอจนหินจิตวิญญาณหมดสิ้นเหมือนกับทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ล่ะก็ โอกาสในการหลบหนีย่อมลดน้อยลงไปด้วย
แต่หากอยากหนีไปจากที่นี่ล่ะก็ จำต้องเผชิญหน้ากับด่านยากสองด่านนี้ก่อน ด่านแรกคือชั้นจำกัดทั้งสองที่อยู่ในร่าง ด่านที่สองคือเส้นทางสำหรับหลบหนีไปจากที่นี่
ถ้าไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งสองได้ คิดว่าเรื่องการได้รับอิสระอีกครั้ง คงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเท่านั้น
อย่างแรกล่ะก็ เขาเคยทดลองหาวิธีถอนพิษหมอกดำอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้ผลเลย ทั้งยังทำการศึกษาไม่ไปน้อย แม้จะสามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบออกมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีหลายชนิดที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ชัดเจน เขารู้สึกฉงนกับความบริสุทธิ์ของโอสถนี้ จนดูเหมือนยังไม่มีแผนรับมือที่ชัดเจน
และในสภาพแวดล้อมพิเศษ กลุ่มแสงสีแดงที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ คงจะกำเริบและคุมขังทะเลจิตวิญญาณไว้ ผลลัพธ์ด้านอื่นๆ ยังคงไม่สามารถรู้ได้ในขณะนี้ แต่คงจะไม่มีผลร้ายกับชีวิตของเขามากนัก แต่คิดอยากจะขจัดมัน ก็ยิ่งไม่รู้เส้นสนกลในที่ซับซ้อนเลย
เส้นทางการหลบหนีที่หลิ่วหมิงรู้ในขณะนี้ ก็มีแค่ทางเข้าที่เข้ามาในวันนั้น แต่มันกลับมีชั้นจำกัดอยู่เป็นจำนวนมาก
ต่อให้จะทำลายชั้นจำกัดแล้วออกไปได้ บนนั้นก็ยังมีผู้พิทักษ์กับผู้อาวุโสที่มีระดับการฝึกฝนที่ไม่อาจคาดเดาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอสูรยักษ์ระดับผลึกกับหุ่นยักษ์ลึกลับสิบสองตัวคอยเฝ้าอยู่
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมาด้วยความกระสับกระส่าย และขมวดคิ้วเดินเตร่ไปมาอยู่ในถ้ำ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย
ขณะที่หลิ่วหมิงเดินวนไปได้สองสามรอบนั้น พลันค้นพบว่าแมงป่องกระดูกที่อยู่บริเวณปากถ้ำมีการเคลื่อนไหว และแหงนคอส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงขยับตัวไปหน้าปากถ้ำด้วยความตกตะลึง พอกวาดสายตามองดูรอบด้านแล้ว ก็ต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
บนทางเดินที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง มีไอหมอกสีขาวเทาปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มันพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งและรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กลุ่มไอหมอกจำนวนมากก็เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นทะเลหมอกสีขาวเทา
และท่ามกลางทะเลหมอก มีคลื่นสั่นสะเทือนแผ่ออกมาอยูไม่หยุด ทั้งยังมีเสียงอสูรคำราม และเงาร่างสีดำที่ปรากฏหายๆ ราวกับว่าอสูรโฉดกำลงพุ่งออกจากในนั้น
“ภัยร้าย!”
หลิ่วหมิงหลุดปากส่งเสียงออกมา ข้อมูลเกี่ยวข้องที่ได้รับจากเขตแลกเปลี่ยนในก่อนหน้านั้นโผล่ขึ้นในมองทันที
ภัยร้ายที่กล่าวถึงย่อมเป็น ‘ภัยอสูรโฉด’ นั่นเอง
ขณะนี้ มีพายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางไอหมอกสีขาวอีกกลุ่มที่ตรงบริเวณทางออก
ครู่ต่อมา อสูรโฉดรูปร่างแบนราบราวกับตะขาบที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็ปรากฏออกมา มันยืนบังทางเข้าไว้อย่างแน่นหนา
อสูรโฉดตนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น ขาของมันก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบมิได้ มันแยกเขี้ยวยิงฟันวาดขาออกไปติดต่อกัน บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่านมีเสียงดังออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำขนาดเล็กๆ และก่อตัวเป็นกำแพงวายุพุ่งมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้ง แต่เท้าที่วิ่งอยู่ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย เขากระตุ้นเกล็ดมังกรแดงให้มาปรากฏบนไหล่ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของกำแพงวายุ เขาก็ยังทะลุออกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากจะมีเสียงดังอู้อี้แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย
พอหลิ่วหมิงเห็นว่าตนเองอยู่ห่างจากอสูรโฉดไม่กี่จั้ง เขาก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว และพุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู
อสูรโฉดหลายขาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหมาก มันจ้องหลิ่วหมิงกลางอากาศด้วยความประหลาดใจ พอมันส่ายหัว ไอหมอกสีเขียวที่มีกลิ่นคาวก็ถูกพ่นออกมา จากนั้นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยว และยื่นออกไป
พอหลิ่วหมิงเห็นหมอกเขียวพุ่งเข้ามา เขากลับไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อพัดหมอกพิษจนแตกกระจาย ส่วนมืออีกข้างก็คว้าไปกลางอากาศ เขาบิดเอวจนกลายเป็นเงา และหลบปากตะขาบขนาดใหญ่ที่งับเข้ามาได้ จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงด้านหลังของอสูรโฉดก่อนที่จะฟันลงไป
เกิดเสียงดังสนั่น แสงกระบี่สีดำหายวับออกไปราวกับสายฟ้าแลบ และฟันใส่อสูรตนนี้จนกลายเป็นสองส่วน ศพของมันยังไม่ทันจะหล่นลงพื้น หลิ่วหมิงก็พาแมงป่องกระดูกพุ่งออกไปไกลแล้ว
แต่พอหลิ่วหมิงพุ่งออกจากทางเดิน เขาต้องก็หดรูม่านตาลงอย่างอดไม่ได้
บนทางเดินที่ไปทางเขตแลกเปลี่ยน ก็มีไอหมอกสีขาวเทาพวยพุ่งเช่นกัน และยังมีอสูรโฉดที่มีรูปร่างเหมือนคางคกยืนบังอยู่
แต่กลับเห็นได้ชัดว่าอสูรโฉดตนนี้โง่เขลาเล็กน้อย เมื่อมันมองเห็นหลิ่วหมิง ก็ได้แต่เฝ้าอยู่ที่เดิมด้วยความตื่นตะลึง
แต่ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงคำรามดังมาจากทางเดินด้านหลัง อสูรโฉดตนอื่นๆ พุ่งออกจากไอหมอก และกระโจนเข้ามาหาเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจหนักอึ้ง เขารู้ดีว่าในตอนนี้ไม่อาจถูกอสูรโฉดรัดพันได้ ดังนั้นจึงพุ่งออกไปยังทางเดินที่ว่างเปล่าอย่างไม่ลังเล
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา