ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 393

สรุปบท ตอนที่ 393: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 393 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 393 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 393 แท่งวายุกระดูก
ตอนที่ 393 แท่งวายุกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากอสูรตนนี้ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนหน้ามืดตาลาย มันก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ทันใดนั้น มันกระโจนใส่เงาร่างเงาหนึ่งทันที กรงเล็บอันแหลมคมราวกับใบมีดคว้าเข้ามาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด

เงาร่างทั้งหมดพุ่งไปด้านหลังพร้อมกัน จนสามารถหลบกรงเล็บไปได้ แต่ไม่นานเงาร่างทั้งสี่ก็สลายไปทันที เงาร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอสูรยักษ์ แต่สีหน้าเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่าทำไมบรรดาทาสเหมืองแร่ถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงอสูรโฉด

ความสามารถอย่างอื่นของมันไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่พลังป้องกันอันแข็งแกร่ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจะสามารถทำการโจมตีได้ จำเป็นต้องรวมพลังกันหลายคนถึงมีโอกาสสังหารมันได้

แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวโดยทั่วไป เวลาที่คนอื่นเผชิญหน้าหน้ากับมันเพียงลำพังอาจจะหมดหนทางสู้ แต่หากเขากระตุ้นพลังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสังหารอสูรตนนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แต่ดาบกระดูกในมือได้ตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว แขนทั้งสองก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว เส้นเอ็นปูดโปนออกมา

ขณะนี้อสูรโฉดคำรามออกมา มันอ้าปากจนเห็นคมเขี้ยวอันแหลมคม จากนั้นก็กระโจนใส่หลิ่วหมิง

“ฟู่!”

เงาสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากด้านหลังของหลิ่วหมิง ทันใดนั้นมันก็ชนใส่อสูรโฉดจนร่วงลงมา จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในระหว่างที่แมงป่องกระดูกกับอสูรโฉดต่อสู้กัน หลิ่วหมิงก็มีเวลามองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของอสูรโฉดได้อย่างชัดเจน

มันมีเขาโค้งๆ อยู่บนหัวหนึ่งคู่ หัวมีลักษณะคล้ายหมาป่ายักษ์ คมเขี้ยวโผล่ออกมาจากปาก ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ดูโหดร้ายทารุณมาก บนตัวมีลายพาดกลอนสีดำ เท้าทั้งสี่โค้งงอและล่ำสัน คมเล็บแหลมคมราวกับเคียวเกี่ยวข้าววาดผ่านกลางอากาศ และส่งเสียงดังสนั่นออกมา แลดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก

พริบตาที่หลิ่วหมิงสังเกตดูนั้น อสูรโฉดกับแมงป่องกระดูกก็ต่อสู้กันไปสองสามรอบแล้ว

แมงป่องกระดูกบิดลำตัวที่ยาวจั้งกว่าๆ จนหลบกรงเล็บไปได้ทุกครั้ง จากนั้นหางตะขออสรพิษตรงหลังก็กลายเป็นเส้นสีดำหลายสิบเส้นก่อนที่จะพุ่งยิงออกไป

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างต่อเนื่องราวกับสายฝนกระหน่ำ อสูรโฉดก็โบกสะบัดกรงเล็บต้านทานไว้ ขณะเดียวกันก็กระโดดหลบอยู่ไม่หยุด หลังจากที่มันส่งเสียงคำรามออกมา ขาหน้าข้างหนึ่งก็ขยายใหญ่เท่าตัว

แมงป่องกระดูกไม่ทันได้ระวัง จึงถูกตบกระเด็นไปชนผนังถ้ำอย่างรุนแรง

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงเคลื่อนตัวไปอยู่ข้างอสูรโฉดอย่างรวดเร็ว แขนขนาดใหญ่ทั้งสองจับดาบกระดูกไว้แน่น และฟันออกไปด้วยเสียงอันดัง

ดาบนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงมันรวดเร็วมาก!

ตั้งแต่ที่อสูรโฉดรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันก็กระโดดตัวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงถูกเงาดาบฟันลงบนหลังอยู่ดี

“ฉับ!”

ดาบกระดูกไม่สามารถฟันร่างอสูรโฉดได้ แต่กลับมีพลังมหาศาลทะลักออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูปหายเข้าไปในร่างอสูรโฉด ทำให้อวัยวะภายในของมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

อสูรโฉดร้องอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็วิ่งหนีทันที แต่หนีไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของมันก็อ่อนยวบยาบแล้วล้มลงพื้น โลหิตสีดำไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

พอมีเงาร่างสั่นไหว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวข้างอสูรโฉดอีกครั้ง หลังจากจ้องมองด้วยสายตาที่เยือกเย็นแล้ว ก็เอาเท้าเหยียบหัวมันไว้

“ฟู่!”

หัวที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ระเบิดออกมาเป็นสีขาวแดงในทันที

ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงยกเท้าที่ถูกเกล็ดมังกรแดงปกคลุมอยู่ออกมา หลังจากกลิ่นไอบนตัวหายไปแล้ว แขนขนาดใหญ่ทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติ

ขณะนี้ แมงป่องกระดูกพุ่งออกไปด้านข้าง และใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองฉีกทึ้งศพของอสูรโฉด

ดูเหมือนว่าหลังจากอสูรโฉดตายแล้ว พลังป้องกันของมันก็ลดน้อยลง

แมงป่องกระดูกก้มลงไปหมอบอยู่ตรงเท้าหลิ่วหมิง และส่งเสียงร้องออกมา หางตะขอตรงหลังกวัดแกว่งไปมาอยู่ไม่หยุด

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงสังเกตดูศพอสูรโฉดที่มีขนาดใหญ่หลายจั้งอีกครั้ง!

อสูรตนนี้มีคุณสมบัติไม่สูง ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่มันเป็นอสูรตนแรกที่เขาลงมือฆ่าด้วยตนเอง

แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงสนใจมากที่สุดกลับเป็นเนื้อของมันที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่าง และกระดูกที่สามารถหลอมเป็นอาวุธได้

หลังจากตรวจดูศพเล็กน้อย เขาก็ใช้ดาบกระดูกแยกชิ้นส่วนของมันออกจากกันอย่างไม่เกรงใจ

หลิ่วหมิงหยิบขวดหยกมาใส่โลหิตอสูรโฉดลงไปสิบกว่าชั่ง จากนั้นก็ตัดชิ้นเนื้อที่ดูเหมือนจะหนักหลายร้อยชั่งออกมา เมื่ออบจนเป็นเนื้อแห้งแล้ว ก็ให้แมงป่องกระดูกขนกลับไปไว้ในถ้ำ

ส่วนกระดูกที่เหลือ พอเขาตรวจดูเล็กน้อยก็ค้นพบว่ามันแข็งแกร่งกว่าโครงกระดูกครึ่งส่วนที่พบในก่อนหน้านั้นมาก แต่เมื่อเทียบกับดาบกระดูกบนมือแล้ว ดูเหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย

เขาแยกชิ้นส่วนกระดูกเหล่านี้ออกมาอย่างคล่องแคล่ว และขนกลับไปกองไว้ในถ้ำ

หลิ่วหมิงจ้องมองกองกระดูกอสูรโฉดตรงหน้า และใช้มือลูบคางอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งทันที จากนั้นก็หยิบคัมภีร์สีแดงหนาๆ ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน

ซึ่งมันก็คือ ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ ที่ได้มาจากเหยียนเจวี๋ยนั่นเอง

หลังจากที่ได้คัมภีร์เล่มนี้มา เขาก็พลิกอ่านแค่คร่าวๆ จากนั้นก็ใส่ลงไปในหอยสังข์ย่อส่วน เพื่อรอมีเวลาว่างแล้วค่อยมาเอามาศึกษา

ขณะนี้ พอเขาพลิกไปถึงหน้าหลอมอาวุธที่อยู่ครึ่งหลัง สายตาของเขาก็จ้องมองเนื้อหาในนั้น

“แท่งวายุกระดูก อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ”

เมื่อเขากลับมาในถ้ำอีกครั้ง นอกจากจะมีโอสถถอนพิษหนึ่งเม็ดแล้ว ถุงบนหลังยังมีหินแร่สีเหลืองอร่ามอยู่หลายสิบก้อน

เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำแล้ว ก็รีบหยิบเตาหลอมสีดำเล็กๆ ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และโยนหินแร่สีเหลืองอร่ามเหล่านี้เข้าไปในนั้น

เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟสีแดงอันคุโชนห่อหุ้มเตาหลอมไว้

ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง นิ้วทั้งสิบดีดออกไปราวกับล้อรถหมุน พลังเวทย์ถูกปล่อยเข้าไปในเตาหลอม

หินแร่ที่เป็นก้อนๆ ละลายอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นโลหะสีทองอร่าม

ขณะนี้ หลิ่วหมิงใช้มือดูดแท่งกระดูกที่สลักลวดลายมาไว้ตรงหน้า และบังคับให้มันหล่นลงไปในเตาหลอมอย่างช้าๆ

สี่เดือนต่อมา

หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำลืมตาขึ้นมาทันที ไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง พอหมุนวนเหนือศีรษะไปหนึ่งรอบ มันก็แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งกลายเป็นมังกรหมอกดำ อีกส่วนกลายเป็นหมอกพยัคฆ์ดำ

เมื่อทั้งสองแผดเสียงออกมาแล้ว ก็มุดหายเข้าไปในศีรษะของหลิ่วหมิง

มาถึงวันนี้ อาการบาดเจ็บภายในร่างได้หายไปจนหมดสิ้น และพลังเวทย์ก็ฟื้นฟูมาถึงสุดสูงสุด ทำให้เขารู้สึกโล่งใจไปมาก

แต่พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูหอยสังข์ย่อส่วนแล้ว ก็ต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ขณะนี้ หินจิตวิญญาณระดับกลางในหอยสังข์ย่อส่วน ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แม้แต่หินจิตวิญญาณระดับสูงก็หายไปหลายก้อน ดูเหมือนจะเหลือแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น

ที่หินจิตวิญญาณหมดไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาดูดซับพลังของมันมารักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาทดลองหลอมแท่งวายุกระดูกอยู่ไม่หยุด

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นอาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นที่ยาวสามสี่ชุ่นก็ปรากฏในมือ

ปลายของมันทั้งสองแหลมคมมาก มีสีเหลืองอ่อนๆ ลวดลายเล็กๆ จำนวนมากปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว ด้ามของมันยังมีรูอยู่สองรู รูปร่างของมันดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

นี่คือแท่งวายุกระดูกสองชิ้น ที่เขาทดลองหลอมจนสำเร็จในตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา

แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงอานุภาพอันร้ายกาจของมันที่บรรยายไว้ในคัมภีร์แล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก

แต่เพื่ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำทั้งสองชิ้นนี้ เขาไม่เพียงแต่จะหมดหินจิตวิญญาณไปไม่น้อย แม้แต่กระดูกของอสูรโฉดหลายตนที่เขาสังหารมาได้ ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น

เสียค่าตอบแทนจำนวนมากมาย เพื่อแลกกับอาวุธทั้งสองชิ้นที่ใช้งานได้แค่ครั้งเดียวเช่นนี้ มันยากที่จะตัดสินส่วนได้ส่วนเสียของมันได้

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา