ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 407

สรุปบท ตอนที่ 407: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 407 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 407 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 407 การตายของเหยียนลัว
ตอนที่ 407 การตายของเหยียนลัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่เหยียน!”

“ผู้อาวุโสหลาน หมายความว่าอย่างไร?”

พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้คนในนั้นก็ฮือฮาขึ้นมา ทำให้ไอหมอกสีขาวเทาบริเวณรอบๆ พวยพุ่งไม่หยุด และมีคนสองสามคนเดินออกมาถาม

หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจมาก แต่กลับกวาดสายตามองคนเหล่านั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ทันใดนั้น เขาก็ค้นพบว่าคนเหล่านี้ เป็นคนสนิทของเหยียนลัวที่เขาเคยเจอที่พันธมิตรเหล็ก และชายวัยกลางคนที่พาเขามาที่นี่ก็อยู่ในนั้นด้วย

พอซินหยวนที่อยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าของคนที่หลานสี่หิ้วมาอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าไม่เตรียมการรับมือกับฉากที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? หากข้าไม่ค้นพบก่อน เกรงว่าพวกเจ้าคงถูกหลอกโดยที่ไม่รู้ตัว มิเช่นนั้นข้าจะเสี่ยงเริ่มแผนการก่อนกำหนดได้อย่างไร ส่วนรายละเอียดนั้นพวกเจ้าถามสหายเหยียนลัวเองเถอะ!” หลานสี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วสะบัดข้อมือโยนเหยียนลัวลงพื้น

“ตุ๊บ!”

ร่างอ่อนปวกเปียกของเหยียนลัวหล่นลงพื้น และหน้าฟุบกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน ภายในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ก็มีลายเส้นจิตวิญญาณสีเขียวที่ดูคล้ายกับโซ่พุ่งออกจากผิวสีน้ำตาลเข้ม และเปล่งแสงจางๆ ออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทุกส่วนของร่าง และเลื้อยไปมาราวกับมีชีวิต ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง!

และเมื่อลายเส้นจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด กลิ่นไอของเขาก็ดูขาดๆ หายๆ

ประจักษ์ชัดว่าเหยียนลัวถูกหลานสี่วางชั้นจำกัดไว้แล้ว

เกิดความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา!

ขณะนี้ คนสนิทของเหยียนลัวที่มีสีหน้าเคืองแค้นในก่อนหน้านั้น ก็รู้สึกประหลาดใจและฉงนเล็กน้อย พวกเขาค่อยๆ ปิดปากแน่น และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

“พี่เหยียน ที่ผู้อาวุโสหลานกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ?” สีหน้าซินหยวนเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอ่ยปากถามเหยียนลัว แต่น้ำเสียงดูสั่นเครือเล็กน้อย

พอได้ยินคำถามของซินหยวน ดูเหมือนว่าเหยียนลัวที่นอนฟุบอยู่กับพื้นจะขยับนิ้วเล็กน้อย และค่อยๆ ลุกขึ้นมาภายใต้การจ้องมองของทุกคน

พอเห็นผู้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างเหยียนลัวลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และแววตาที่มองไปทางหลานสี่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เหยียนลัวในขณะนี้ มีผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย พอฝืนลุกขึ้นยืนได้แล้ว ก็ค่อยๆ มองดูผู้คนตรงหน้าโดยไม่แสดงอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของซินหยวน และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ที่หลานสี่พูดไม่มีผิด! เป็นข้าเองที่บอกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าให้กับผู้พิทักษ์เหมืองแร่ และเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว”

พอคำพูดนี้ออกจากปากก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมา

ซินหยวนมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ ผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างก็คาดหวังกับแผนการหลบหนีเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่ยอมเข้าร่วมแผนการนี้ แม้กระทั่งคนสนิทส่วนหนึ่งของเหยียนลัว ต่างก็ถูกเหยียนลัวแนะนำเข้ามา

แต่ตอนนี้เขากลับเปิดโปงแผนการกับผู้พิทักษ์เหมืองแร่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาโมโหได้อย่างไร

“เหยียนลัว เจ้าเรียกพวกข้ามาที่นี่ และยังไปสมคบคิดกับผู้พิทักษ์อีก มันหมายความว่าอย่างไร?”

“เสียแรงที่พวกเราเชื่อใจเจ้า ทุ่มเทเพื่อเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับสมคบคิดกับผู้พิทักษ์!”

เสียงซักถาม และเสียงด่าทอดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

สายตาคนอื่นๆ ที่มองเหยียนลัวเต็มไปด้วยแววตาดุร้าย

หลานสี่พอจะคาดเดาการแสดงออกของผู้คนได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับเอามือไขว้หลังและจ้องมองด้วยสายตาอันเยือกเย็น

ในขณะนั้นเอง เหยียนลัวก็แหงนหน้าหัวเราะออกมาอย่าบ้าคลั่ง และผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็เงียบลงด้วยความตกใจ

พอเสียงหัวเราะสิ้นสุดลง เหยียนลัวก็ยืดตัวตรงและกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยะโส

“พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามีเส้นทางการหลบหนีอยู่จริง? ช่างน่าขันสิ้นดี!”

ผู้คนต่างก็อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหยียนลัวหมายความว่าอย่างไร

คนเผ่าเจ้าสมุทรผู้หนึ่งกลับก้าวออกไปหนึ่งก้าว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ขณะนี้เจ้าถูกผู้คนตีตัวออกห่าง หมดความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว ยังกล้าคุยโวโอ้อวดอีก คิดว่ายังมีคนเชื่อเจ้าอยู่อีกหรือ?”

“ฮึ! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีก เส้นทางหลบหนีที่หลานสี่พูดถึง ไม่สามารถผ่านไปได้โดยเด็ดขาด แผนการนี้หลานสี่หลอกพวกเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร แต่ในเมื่อเขาหลอกข้าก่อน ข้าผิดอะไรที่จะหาทางรอดให้ตัวเองบ้าง! ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าพลังแท้จริงของเขาจะเหนือกว่าข้ามาก ในเมื่อตอนนี้ความสามารถข้าเทียบกับเขาไม่ได้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว แต่ว่าอีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะลงไปเป็นเพื่อนข้าที่ปรโลกแล้ว ข้าไม่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างเดียวดาย” เหยียนลัวยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

พอคำพูดนี้พูดออกไป คนจำนวนหนึ่งที่เอะอะโวยวายอยู่ ก็เงียบลงในฉับพลัน แต่สายตาทุกคนกลับจ้องไปยังผู้อาวุโสผมสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังเหยียนลัวด้วยความฉงนและหวาดกลัว

หลานสี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ เบะปาก และตบฝ่ามือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า

“โพล๊ะ!”

ขณะที่อยู่ห่างจากประตูห้องลับชั่วระยะหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์ก็โบกมือให้ข้ารับใช้ทั้งหลายหยุดฝีเท้าในทันที

“ท่านเซียนเย่ ราชาสมุทรเรียกท่านเข้าพบ รีบเปลี่ยนชุดที่ข้าน้อยนำมาให้แล้วตามข้าน้อยไปเข้าเฝ้าเถิด” หญิงอัปลักษณ์ส่งเสียงเข้าไปในห้องรับรอง

ผ่านไปสักพัก ถึงมีน้ำเสียงเยือกเย็นของเย่เทียนเหมยดังออกมา

“ราชาปีศาจสมุทรเรียกข้าเข้าพบ! มีเรื่องอันใดกันแน่?”

“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบ ท่านเซียนรีบเปลี่ยนชุดเถอะ ราชาสมุทรรอนานแล้ว” หญิงอัปลักษณ์เร่งอย่างทนรำคาญไม่ได้

“ดูท่าราชาปีศาจสมุทรผู้นี้ คงไม่คิดจะให้เวลาข้านานเกินไป ดีที่สองวันก่อน ข้าได้ปรับแต่งค่ายกลกระบี่จนสำเร็จแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปพบเขาอีก” ผ่านไปสักพัก ถึงมีน้ำเสียงเยือกเย็นของเย่เทียนเหมยดังออกมาอีกครั้ง

“บังอาจ! เจ้าพูดอะไร!” พอหญิงอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนี้ ก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในทันที พอนางพูดตำหนิออกไปแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งในฉับพลัน พอยันต์สีเขียวปรากฏบนฝ่ามือ นางก็คิดจะขยี้มันให้แตกละเอียก

แต่ขณะนั้นเอง ประตูหินที่ดูแน่นหนาและมีแสงสีขาวเปล่งประกายอยู่จางๆ ก็ระเบิดออกมา

ท่ามกลางเศษหินที่กระเด็น สายรุ้งสีเงินม้วนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันพร่ามัว ก็มีกระบี่ยาวสีเงินลอยอยู่บนอากาศอีกแปดเล่ม

ครู่ต่อมา มันก็กลายเป็นไหมเงินจำนวนมาก และม้วนตัวข้ารับใช้หญิงที่ตรงด้านหลังหญิงอัปลักษณ์ไว้

หลังจากมีเสียงร้องด้วยความตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์กับข้ารับใช้หญิงเหล่านี้ ก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทางเดินถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิตในทันที ขณะเดียวก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวอย่างรุนแรง

ภายใต้การเกาะตัวของไหมเงินจำนวนมาก มันก็กลับมาเป็นกระบี่ยาวสีเงินลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา

จากนั้นมีแสงสีเงินพุ่งออกมาจากห้องรับรอง คิดไม่ถึงว่ามันจะรวมตัวกับกระบินทั้งแปดจนกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงิน และพุ่งขึ้นด้านบน พริบตาเดียวก็พุ่งทะลุเพดานหินสีดำและชั้นจำกัดแต่ละชั้นของพระราชวัง และยังทะลุออกไปจากม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านบน

ขณะนั้นเอง มีเสียงราชาปีศาจสมุทรดังมาจากพื้นที่บางแห่งของพระราชวังใต้ทะเล

“ขี่กระบี่เหินเวหา! ท่านเซียนเย่ ท่านคิดจะหนีไปจากฝ่ามือข้าง่ายๆ หรือ คงเพ้อฝันไปหน่อยละมั้ง!”

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา