ตอน ตอนที่ 433 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 433 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ที่แท้ประสบการณ์อกสั่นขวัญหายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นแค่ความรู้สึกลวงที่ดูราวกับฝันเท่านั้น และทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดวงตาสีดำบนก้อนศิลามอบให้
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอยู่ในแดนมายาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ระหว่างที่ทำการแลกมือกับปีศาจหลานสี่ ดูคล้ายความจริงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งความเจ็บปวดจากการถูกดึงแขนจนขาด และถูกเจาะทะลุหน้าอกก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน ทำให้เขายังคงรู้สึกหวาดผวาไม่หาย
พริบตานั้น เขานึกว่าตนเองตายไปแล้วจริงๆ
ขณะนี้ชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าถึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดอธิบาย
“หลังจากสัมผัสกับ ‘ดวงตามายาปีศาจ’ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ของขวัญชิ้นนี้ไม่เลวใช่ไหม! ของสิ่งนี้สามารถเลียนแบบการต่อสู้อย่างดุเดือดในก่อนหน้านั้นได้ และดึงจิตของเจ้าเข้าไปในแดนมายา เพื่อทำการต่อสู้กับศัตรูแข็งแกร่งในอดีตอีกครั้ง”
“มีสมบัติเช่นนี้ด้วย!” ได้ยินหลัวโหวพูดเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าเคล็ดวิชา และอาวุธจิตวิญญาณต่างๆ จะดีแค่ไหน หากไม่ผ่านการทดสอบประสบการณ์จริง ก็ไม่สามารถสำแดงพลังที่มีอานุภาพแท้จริงออกมาได้
แม้ว่าโดยปกติผู้ฝึกฝนจะฝึกฝนได้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่การต่อสู้จริงมักจะแสดงออกได้ไม่ดี สามารถสำแดงอานุภาพหนึ่งถึงสองในสิบส่วนออกมาได้ ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว หากเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย อาจจะมือไม้อ่อนจนไม่สามารถทำท่ามือ และร่ายคาถาออกมาได้ดั่งใจนึก
ดังนั้นประสบการณ์จริงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
โดยทั่วไปแล้วในขณะที่เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย คู่ต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งกระตุ้นพลังแฝงบางอย่างออกมามากขึ้น แม้กระทั่งอาจทำให้เขาทะลวงคอขวดบางอย่างก็เป็นไปได้
หากเป็นอย่างที่หลัวโหวบอก ‘ดวงตามายาปีศาจ’ สามารถทำให้การต่อสู้ที่ผ่านมาเกิดขึ้นซ้ำได้อีกครั้งล่ะก็ มันคงยกระดับพลังได้อย่างเหลือเชื่อ
“หากอยากให้ ‘ดวงตามายาปีศาจ’ ทำให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง แท้จริงแล้วมันมีข้อจำกัดไม่น้อยเลย ประการแรก ต้องส่งพลังจิตเข้าไปในดวงตาบนแท่นศิลาเป็นจำนวนมาก เพราะการดำรงอยู่ของแดนมายาขึ้นอยู่กับการคุ้มครองของพลังจิต หากพลังจิตไม่สามารถใช้การได้ล่ะก็ แดนมายาสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา ยิ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ก็ยิ่งต้องการพลังจิตมากยิ่งขึ้น”
“ประการที่สอง สิ่งที่ดวงตามายาปีศาจสามารถเลียนแบบได้นั้น ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกของฉากการต่อสู้อันดุเดือดเท่านั้น ไม่สามารถคัดลอกประสบการณ์ออกมาได้ และพลังของคู่ต่อสู้ที่เลียนแบบได้ในแดนมายา เป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาและอาวุธจิตวิญญาณที่เคยแสดงต่อหน้าเจ้าเท่านั้น หากคู่ต่อสู้มีไพ่ตายหรือแอบซ่อนระดับการฝึกฝนไว้ล่ะก็ ไม่สามารถเลียนแบบออกมาได้เช่นกัน” ชายหนุ่มชุดดำกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
จากนั้นหลัวโหวก็บอกเรื่องเกี่ยวกับดวงตามายาปีศาจกับผลกระทบที่ตามมาอีกเล็กน้อย และให้หลิ่วหมิงดูแลตัวเองให้ดีๆ
พอหลิ่วหมิงฟังจบ ก็คิดจะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับสะบัดแขนเสื้อจนทำให้ดวงตาของเขามืดลง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในหลุมใต้จุดตัดมิติอีกครั้ง
พอฟื้นขึ้นมา เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง และไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ราวกับว่าพลังเวทถูกควักออกไปจนหมด ได้แต่พอประคับประคองไม่ให้ระดับการฝึกฝนตกลงไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
หลิ่วหมิงแยกเขี้ยวยิงฟันและสงบสติอารมณ์ลง หลังจากแอบยิ้มอย่างขมขื่นแล้ว ก็รู้ว่านี่คงเป็นผลกระทบของการกลายร่างเป็นครึ่งปีศาจตามที่หลัวโหวบอกสินะ!
เขาควักโอสถฟื้นฟูพลังออกมาทานสองสามเม็ด หลังจากสงบจิตสงบใจเล็กน้อยแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง ยอดเขาสีดำที่อยู่ไม่ไกลเกิดการสั่นไหวขึ้นมาโดยฉับพลัน จากนั้นก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
ครู่เดียวก็มีรอยแยกปรากฏบนพื้นผิวของยอดเขา
หลิ่วหมิงรีบทรงตัวด้วยความตกใจ และเงยหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาค้นพบว่าม่านแสงสีขาวบริเวณที่จุดตัดมิติอยู่ ก็ค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา หลังจากมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ก็มีรอยแยกโผล่ออกมาเช่นกัน
หลิ่วหมิงรู้ได้โดยนัยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่อาจอยู่ได้นาน เขาจึงพยายามกระตุ้นพลังเวทเหาะไปยังเทือกเขาสีดำ
ผ่านไปสักพัก เขาก็มาปรากฏตัวภายในยอดเขาอีกครั้ง
ภายในถ้ำในขณะนี้ ซินหยวนได้หลุดพ้นจากโซ่ที่รัดพันตัวแล้ว หลังจากเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวโดนฉับพลัน เขาก็รู้สึกตกใจจนร่นถอยออกไปหลายก้าว แต่หลังจากสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ
“พี่หลิ่ว ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
การกลายร่างของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่ และฉากความรุนแรงของความกระหายเลือด ยังคงฝังอยู่ในใจของซินหยวน ด้วยเหตุนี้ พอเขาเห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวตรงหน้า เขาจึงมีท่าทีที่ไม่เป็นธรรมชาติเลย
“พี่ซินรีบหนีไป ที่นี่ใกล้จะล่มสลายแล้ว จุดตัดมิติด้านนอกก็จะพังทลายแล้วเช่นกัน”
หลิ่วหมิงตะโกนเสียงดังออกมา เมื่อเขากวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว ก็ค้นพบว่าไม่รู้ทำไมแมงป่องกระดูกกับหัวบินบนแท่นบูชาถึงไม่ขยับเขยื้อน แต่พอส่งพลังจิตออกไปดู ก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่หลับลึกเท่านั้น
เขาเหาะมาอยู่บนอากาศเหนือตัวของทั้งสอง พอสะบัดแขนเสื้อ พวกมันก็เข้าไปอยู่ในถุงหนังทันที จากนั้นเขาก็เก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่ตกอยู่บนแท่นบูชาขึ้นมา และคว้าตัวเจียหลานที่ยังไม่ได้สติก่อนที่จะพุ่งออกไปด้านนอก
ซินหยวนย่อมรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน พอได้ยินหลิ่วหมิงบอกเช่นนี้ เขาก็รีบพุ่งตามออกไปทันที
ผ่านไปแค่ชั่วครู่ เทือกเขาสีดำก็พังทลายลงมา!
ทั้งสองเหาะออกจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว และมาปรากฏตัวด้านล่างจุดตัดมิติตรงป่าหินอีกครั้ง
ขณะนี้ มีรอยร้าวจำนวนมากปรากฏขึ้นบนม่านแสงสีขาว ระลอกคลื่นมิติตรงด้านหลังก็ค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา
“เจ้าว่าราชาปีศาจสมุทรกับนางผู้นั้น จะตกลงไปในสถานที่อื่นหรือไม่?” พอซินหยวนกวาดสายตามองดูรอบด้าน และส่งจิตสำรวจดูบริเวณนี้เล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
ในรัศมีสองสามลี้นี้ มีแต่กลิ่นไอของพวกเขาทั้งสองเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และจ้องมองรูมิติที่ถูกทำลายไปแล้ว จากนั้นก็พอจะเข้าใจได้ลางๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ดูท่าจุดตัดมิติแห่งนี้คงเป็น ‘มิติเคลื่อนไหว’ ที่พบเจอได้น้อยมาก ทางออกของมันเชื่อมต่อกับมิติหลายแห่ง และคงมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ ราชาปีศาจสมุทรกับเจียหลานที่หนีออกมาก่อนคงถูกส่งไปยังสถานที่อื่นๆ และพวกเราสองคนออกมาพร้อมกัน ถึงถูกส่งมายังสถานที่แห่งนี้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“คงเป็นเช่นนี้ไม่มีผิด มิเช่นนั้นคงไม่สามารถหาสิ่งใดมาอธิบายได้” หลังจากแววตาของซินหยวนเปล่งประกายออกมาสองสามทีแล้ว เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
“คงไม่เกิดเรื่องอะไรกับนางหรอกนะ!” หลิ่วหมิงอดเป็นกังวลไม่ได้
“พี่หลิ่ววางใจเถอะ! โลกกว้างใหญ่เช่นนี้ คงไม่บังเอิญขนาดส่งท่านเซียนผู้นั้นไปยังสถานที่อันตรายหรอก” แม้ซินหยวนจะรู้สึกสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วหมิงกับเจียหลาน แต่กลับไม่ถามอะไรให้มากความ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หลิ่วหมิงก็ได้แต่คิดเช่นนี้
“แต่ก็ไม่ทราบว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด พลังเวทของพวกเราก็เหลือไม่มาก ควรจะนั่งสมาธิพักผ่อนกันเล็กน้อย หลังจากฟื้นฟูดีแล้วค่อยวางแผนกันต่อเถอะ!” ซินหยวนเสนอแนะ
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงตอบรับในทันที
……
ขณะเดียวกัน เหนือพื้นที่เปิดโล่งตรงใจกลางเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเลแห่งหนึ่ง เจียหลานที่หมดสติมาโดยตลอดค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในที่สุดนางก็ได้สติอีกครั้ง
“แม่นาง ฟื้นแล้วหรือ” พอน้ำเสียงนุ่มนวลดังเข้ามาในหู เจียหลานก็รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
ห่างจากนางไปไม่ไกล มีแม่ชียืนอยู่ตรงนั้นรูปหนึ่ง นางสวมชุดคลุมยาวสีดำ และสวมหมวกสีเทา ใบหน้าสวยสดงดงาม ท่าทีดูอ่อนโยนมาก
“เจ้าเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน?” เจียหลานจ้องมองแม่ชีในฉับพลัน นางรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยปากถามด้วยความตะลึงงัน
“เฮ่อๆ! ที่นี่คือเกาะไห่ซิน เป็นสถานที่ที่ข้าบำเพ็ญตบะ ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอย่างไร? เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่?” แม่ชีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็สอบถามด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา