แม่ชีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจมาก หลังจากจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นพบว่าเจียหลานจะไม่ได้จงใจเสแสร้ง
แม่ชีคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่ร่างของเจียหลานก่อนที่จะคว้าแขนของนางมาตรวจดูชีพจร
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ แม้จะรู้ว่าเจียหลานไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ไม่รู้ทำไมจิตใจนางถึงสั่นสะเทือนผิดปกติ แลดูคล้ายกับไม่มีจิตวิญญาณอยู่เลย
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ในระหว่างจับชีพจรนั้น นางค้นพบว่าแม้เจียหลานจะมีการฝึกฝนอยู่แค่ระดับของเหลว แต่พลังจิตกลับแข็งแกร่งมากกว่าปกติ และยังมีร่างละเมอฝันที่พบเจอได้น้อยอีกด้วย
“แม่นาง ดูเหมือนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติในทะเลจิตรับรู้ของเจ้า ถึงทำให้เจ้าสูญเสียความจำไป ตอนนี้จำไม่ได้จริงๆ หรือว่ามาจากที่ใด” น้ำเสียงของแม่ชีไม่ดังมาก ทั้งยังอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง
เจียหลานฟังแล้วก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา และส่ายหน้าด้วยแววตาที่ดูเลอะเลือน
แม่ชียิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พยุงนางขึ้นมาเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์เล็กน้อย หากแม่นางเชื่อใจข้าล่ะก็ ตามข้ากลับไปนิกายก่อน ข้าจะช่วยฟื้นคืนความทรงจำให้อย่างสุดความสามารถ”
“นิกาย?” เจียหลานรู้สึกฉงนขึ้นมา
“ไม่ผิด ข้ามาจากอารามชิงสุ่ย ไม่ทราบแม่นางยินดีเข้านิกายเราหรือไม่?” แม่ชีพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
แม้เจียหลานจะสูญเสียความจำไป แต่ก็รับรู้ได้ว่าแม่ชีตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด บวกกับเมื่อนางมองออกไปไกลๆ ก็พบแต่ทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคย จึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ และแม่ชีตรงหน้ากลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมาก ดังนั้นนางจึงลังเลเพียงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
แม่ชีได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนี้ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับนิกายกันก่อนเถอะ เชื่อว่าพออาจารย์อาท่านประมุขได้พบกับแม่นาง จะต้องยินดีต้อนรับอย่างแน่นอน”
กล่าวจบนางก็โบกแขนเสื้อ แส้ในมือกลายเป็นแสงสีเขียวพยุงร่างของทั้งสองขึ้นมา จากนั้นก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนที่จะเหาะไปยังขอบฟ้า
ในระหว่างทาง เจียหลานถึงรู้จากปากของแม่ชีผู้นี้ว่า สถานที่แห่งนี้คือเขตทะเลหนานไห่ที่อยู่ใกล้กับแผ่นดินจงเทียนที่สุด และอารามชิงสุ่ยก็เป็นหนึ่งในสิบนิกายอันดับแรกๆ ในทะเลหนานไห่
……
บนผิวทะเลที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเกาะที่เจียหลานอยู่ไปตั้งเท่าไหร่ แสงหลบหลีกสีฟ้าแวววาวพุ่งผ่านอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลหลายร้อยจั้ง
แม้แสงหลบหลีกจะรวดเร็วมาก แต่ก็มีท่าทีไม่มั่นคงเล็กน้อย
พอมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่าผู้ที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในแสงสีฟ้า คือชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัว และเปื้อนไปด้วยเลือด สีหน้าดำคล้ำเล็กน้อย ผมบนบ่าดูยุ่งเหยิง บนแก้มทั้งสองมีบาดแผลอยู่รำไร
เขาก็คือราชาปีศาจสมุทรที่หนีออกมาจากจุดตัดมิติในเหลวลึกนั่นเอง!
ขณะนั้นเอง มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังมาจากพื้นผิวทะเลที่ไกลออกไปร้อยจั้ง น้ำเสียงนี้แหบแห้งแสบแก้วหูมาก ขณะเดียวกัน กลิ่นไออันแข็งแกร่งก็แผ่เข้ามา
นกอินทรียักษ์สีเงินกำลังกระพือปีกบินมาทางชายหนุ่มชุดคลุมสีขาว
ปีกทั้งคู่ของอินทรียักษ์สีเงินมีความยาวมากกว่าสิบจั้ง พริบตาที่มันกระพือปีก ก็พัดพาพายุบ้าระห่ำจำนวนมาก จนกระตุ้นให้ผิวทะเลเกิดคลื่นโหมซัดสาด ความเร็วของมันแตกต่างจากความเร็วของราชาปีศาจสมุทรในก่อนหน้านั้นไม่มาก
และดูเหมือนว่าบนหลังของนกอินทรียักษ์ จะมีนักพรตนั่งอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ห่างกันมาก แต่ดูเหมือนว่านักพรตผู้นั้นไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เพียงแค่ปล่อยให้นกอินทรีตามติดราชาปีศาจสมุทรอย่างไม่ลดละ
ทั้งสองฝ่ายไล่ตามกัน จนหายไปจากขอบฟ้าในพริบตา
……
บนยอดเขาสีเขียวในเขตทะเลอีกแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังนั่งเข้าฌานฟื้นฟูพลังเวทอยู่ในสถานที่บางแห่ง
ปราณพลังฟ้าดินในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเบาบาง แต่เมื่อเทียบกับสายแร่ใต้ทะเลลึกที่พวกเขาอยู่ในก่อนหน้านั้นแล้ว มันดีกว่าหลายเท่านัก
ทั้งสองอาศัยพลังของโอสถ และนั่งเข้าฌานไปหนึ่งรอบ พลังเวทก็ฟื้นฟูมาจำนวนหนึ่งแล้ว
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงต่อสู้ดังมาจากตีนยอดเขา และยังมีเสียงอาวุธกระทบกันดังแทรกเข้ามา
หลิ่วหมิงกับซินหยวนตกใจตื่นขึ้นมา หลังจากสบตากันทีหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนจะมองเห็นแววตาประหลาดใจจากฝ่ายตรงข้าม
“ฟังจากเสียงแล้ว เหมือนมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ และจำนวนคนก็ดูเหมือนจะมีไม่น้อย” ซินหยวนหยิบกระบองเหล็กขึ้นมา และกล่าวอย่างระแวดระวังตัว
“ตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ ไม่สู้ลองไปดูหน่อยไหม?” หลังจากสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นมาในฉับพลัน และค่อยๆ กล่าวออกมา
ทั้งสองเหาะลงจากเขาอย่างเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา