ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 434

สรุปบท ตอนที่ 434: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 434 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 434 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 434 เขตทะเลหนานไห่
ตอนที่ 434 เขตทะเลหนานไห่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” ได้ยินแม่ชีถามเช่นนี้ เจียหลานก็อึ้งไปทันที ดูเหมือนสมองนางจะว่างเปล่าไปหมด ไม่เพียงแต่นึกชื่อของตนเองไม่ได้เท่านั้นทความทรงจำอื่นๆ ก็ไม่อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย

แม่ชีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจมาก หลังจากจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นพบว่าเจียหลานจะไม่ได้จงใจเสแสร้ง

แม่ชีคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่ร่างของเจียหลานก่อนที่จะคว้าแขนของนางมาตรวจดูชีพจร

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ แม้จะรู้ว่าเจียหลานไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ไม่รู้ทำไมจิตใจนางถึงสั่นสะเทือนผิดปกติ แลดูคล้ายกับไม่มีจิตวิญญาณอยู่เลย

สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ในระหว่างจับชีพจรนั้น นางค้นพบว่าแม้เจียหลานจะมีการฝึกฝนอยู่แค่ระดับของเหลว แต่พลังจิตกลับแข็งแกร่งมากกว่าปกติ และยังมีร่างละเมอฝันที่พบเจอได้น้อยอีกด้วย

“แม่นาง ดูเหมือนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติในทะเลจิตรับรู้ของเจ้า ถึงทำให้เจ้าสูญเสียความจำไป ตอนนี้จำไม่ได้จริงๆ หรือว่ามาจากที่ใด” น้ำเสียงของแม่ชีไม่ดังมาก ทั้งยังอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง

เจียหลานฟังแล้วก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา และส่ายหน้าด้วยแววตาที่ดูเลอะเลือน

แม่ชียิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พยุงนางขึ้นมาเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์เล็กน้อย หากแม่นางเชื่อใจข้าล่ะก็ ตามข้ากลับไปนิกายก่อน ข้าจะช่วยฟื้นคืนความทรงจำให้อย่างสุดความสามารถ”

“นิกาย?” เจียหลานรู้สึกฉงนขึ้นมา

“ไม่ผิด ข้ามาจากอารามชิงสุ่ย ไม่ทราบแม่นางยินดีเข้านิกายเราหรือไม่?” แม่ชีพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้

แม้เจียหลานจะสูญเสียความจำไป แต่ก็รับรู้ได้ว่าแม่ชีตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด บวกกับเมื่อนางมองออกไปไกลๆ ก็พบแต่ทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคย จึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ และแม่ชีตรงหน้ากลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมาก ดังนั้นนางจึงลังเลเพียงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าทันที

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องรบกวนท่านแล้ว”

แม่ชีได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนี้ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับนิกายกันก่อนเถอะ เชื่อว่าพออาจารย์อาท่านประมุขได้พบกับแม่นาง จะต้องยินดีต้อนรับอย่างแน่นอน”

กล่าวจบนางก็โบกแขนเสื้อ แส้ในมือกลายเป็นแสงสีเขียวพยุงร่างของทั้งสองขึ้นมา จากนั้นก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนที่จะเหาะไปยังขอบฟ้า

ในระหว่างทาง เจียหลานถึงรู้จากปากของแม่ชีผู้นี้ว่า สถานที่แห่งนี้คือเขตทะเลหนานไห่ที่อยู่ใกล้กับแผ่นดินจงเทียนที่สุด และอารามชิงสุ่ยก็เป็นหนึ่งในสิบนิกายอันดับแรกๆ ในทะเลหนานไห่

……

บนผิวทะเลที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเกาะที่เจียหลานอยู่ไปตั้งเท่าไหร่ แสงหลบหลีกสีฟ้าแวววาวพุ่งผ่านอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลหลายร้อยจั้ง

แม้แสงหลบหลีกจะรวดเร็วมาก แต่ก็มีท่าทีไม่มั่นคงเล็กน้อย

พอมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่าผู้ที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในแสงสีฟ้า คือชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัว และเปื้อนไปด้วยเลือด สีหน้าดำคล้ำเล็กน้อย ผมบนบ่าดูยุ่งเหยิง บนแก้มทั้งสองมีบาดแผลอยู่รำไร

เขาก็คือราชาปีศาจสมุทรที่หนีออกมาจากจุดตัดมิติในเหลวลึกนั่นเอง!

ขณะนั้นเอง มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังมาจากพื้นผิวทะเลที่ไกลออกไปร้อยจั้ง น้ำเสียงนี้แหบแห้งแสบแก้วหูมาก ขณะเดียวกัน กลิ่นไออันแข็งแกร่งก็แผ่เข้ามา

นกอินทรียักษ์สีเงินกำลังกระพือปีกบินมาทางชายหนุ่มชุดคลุมสีขาว

ปีกทั้งคู่ของอินทรียักษ์สีเงินมีความยาวมากกว่าสิบจั้ง พริบตาที่มันกระพือปีก ก็พัดพาพายุบ้าระห่ำจำนวนมาก จนกระตุ้นให้ผิวทะเลเกิดคลื่นโหมซัดสาด ความเร็วของมันแตกต่างจากความเร็วของราชาปีศาจสมุทรในก่อนหน้านั้นไม่มาก

และดูเหมือนว่าบนหลังของนกอินทรียักษ์ จะมีนักพรตนั่งอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ห่างกันมาก แต่ดูเหมือนว่านักพรตผู้นั้นไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เพียงแค่ปล่อยให้นกอินทรีตามติดราชาปีศาจสมุทรอย่างไม่ลดละ

ทั้งสองฝ่ายไล่ตามกัน จนหายไปจากขอบฟ้าในพริบตา

……

บนยอดเขาสีเขียวในเขตทะเลอีกแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังนั่งเข้าฌานฟื้นฟูพลังเวทอยู่ในสถานที่บางแห่ง

ปราณพลังฟ้าดินในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเบาบาง แต่เมื่อเทียบกับสายแร่ใต้ทะเลลึกที่พวกเขาอยู่ในก่อนหน้านั้นแล้ว มันดีกว่าหลายเท่านัก

ทั้งสองอาศัยพลังของโอสถ และนั่งเข้าฌานไปหนึ่งรอบ พลังเวทก็ฟื้นฟูมาจำนวนหนึ่งแล้ว

ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงต่อสู้ดังมาจากตีนยอดเขา และยังมีเสียงอาวุธกระทบกันดังแทรกเข้ามา

หลิ่วหมิงกับซินหยวนตกใจตื่นขึ้นมา หลังจากสบตากันทีหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนจะมองเห็นแววตาประหลาดใจจากฝ่ายตรงข้าม

“ฟังจากเสียงแล้ว เหมือนมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ และจำนวนคนก็ดูเหมือนจะมีไม่น้อย” ซินหยวนหยิบกระบองเหล็กขึ้นมา และกล่าวอย่างระแวดระวังตัว

“ตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ ไม่สู้ลองไปดูหน่อยไหม?” หลังจากสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นมาในฉับพลัน และค่อยๆ กล่าวออกมา

ทั้งสองเหาะลงจากเขาอย่างเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ

ชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีเขียวอ่อน ผมบนศีรษะถูกมัดเป็นมวยสูง ดูจากการแต่งกายแล้ว ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานมาก และดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ทำให้รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง แต่รายละเอียดนั้นที่แน่ชัดนั้น กลับมองไม่ออกว่าเขาได้ซ่อนพลังไว้หรือไม่

พอชายผู้นี้ปรากฏออกมา คนสองกลุ่มที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก็หยุดการต่อสู้ลง

คนทั้งสองกลุ่มต่างก็ค้นพบว่าหลิ่วหมิงกับซินหยวนแตกต่างจากพวกเขามาก จนทำให้พวกเขามองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

“พลังจิตของสหายแข็งแกร่งมาก ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก ข้าน้อยเหวยอวิ๋น คารวะสหายทั้งสอง” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวไม่ได้สนใจคนสองกลุ่มนั้น แต่กลับเดินมาด้านหน้าและประคองมือคารวะด้วยรอยยิ้ม

“สหายเหวยชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเพียงแค่บังเอิญเท่านั้น” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติออกมา แต่กลับคารวะกลับไปด้วยความเกรงใจ

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวต่อ

“ไม่ทราบสหายทั้งสองมีนามว่าอย่างไร? เกาะเรือใบแห่งนี้ เป็นเขตปกครองของพรรคฉางเฟิง ตอนนี้ถูกค่ายกลปิดล้อมจากด้านนอก ตามหลักแล้วคนที่มาจากภายนอกจะต้องสัมผัสโดนชั้นจำกัด แต่ข้าน้อยไม่ได้รับการแจ้งเตือนแต่อย่างใด ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก!”

“บอกสหายอย่างไม่ปิดบัง พวกข้าทั้งสองก็มาถึงที่นี่แบบงงงัน ชะตากรรมในครั้งนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เกรงว่าไม่อาจอธิบายได้ชัดเจน” ซินหยวนสบตากับหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ไม่นานก็เก็บกระบองเข้าไป และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

ชายชุดเขียวได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็เลิกคิ้ว และแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าสหายทั้งสองคงจะผ่านรอยแยกมิติจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ มิน่าถึงไม่สัมผัสโดนชั้นจำกัดของค่ายกล สถานที่แห่งนี้มีรอยแยกมิติจำนวนมาก จึงมักจะมีผู้ฝึกฝนจากภายนอกหล่นลงมาบ่อยๆ”

ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวอย่างผ่อนคลาย แต่หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับรู้สึกตกใจมาก

อย่างที่รู้ว่ารอยแยกมิติในเขตทะเลชังไห่นั้น นับว่าพบเจอได้น้อยมาก หลิ่วหมิงเพิ่งรู้เรื่องนี้จากการอ่านคัมภีร์จำนวนหนึ่งในนิกาย

แต่ดูเหมือนนักพรตวัยกลางคนไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด ช่างเหนือความคาดหมายของพวกเขามากนัก

“เช่นนี้ก็แสดงว่าพวกข้าหูตาแคบมาก ขอถามสหายเหวย ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่เขตทะเลชังไห่หรือไม่?” ซินหยวนถามอย่างนอบน้อม

“เขตทะเลชังไห่? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เกาะเรือใบเป็นเกาะบริเวณชายฝั่งทะเลของแผ่นดินจงเทียน ตั้งอยู่ในหมู่เกาะแห่งหนึ่งในเขตทะเลหนานไห่” นักพรตชุดเขียวสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามทีแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา