เหวยอวิ๋นกระตุ้นวิหคจิตวิญญาณให้บินไปพลาง และเอ่ยปากแนะนำไปพลาง
“เกาะมัจฉาเขียวแยกเป็นเกาะตะวันออกกับเกาะตะวันตกโดยใช้ช่องแคบทะเลเป็นเส้นแบ่ง เกาะตะวันออกคือตรงส่วนหัวของมัจฉา ซึ่งก็คือที่ทำการของพรรคฉางเฟิงเรา ว่ากันว่าข้างใต้ลึกๆ มีชีพจรจิตวิญญาณอยู่สายหนึ่ง ศิษย์กับแขกส่วนใหญ่ของพรรคฉางเฟิงจะอาศัยอยู่ที่นี่ และเกาะทางด้านตะวันตกค่อนข้างยุ่งเหยิง ผู้ฝึกฝนอิสระส่วนใหญ่จะรวมตัวกันตรงนั้น”
ในขณะที่ฟังเหวยอวิ๋นเล่านั้น พวกเขาทั้งสองก็ค้นพบว่า สิ่งก่อสร้างบนเกาะล้วนสร้างมาจากหินสีดำ แต่ที่ค่อนข้างแปลกเป็นพิเศษก็คือมันเป็นทรงโดม
ขณะนี้เข้าใกล้ยามตะวันรอนแล้ว ภายใต้แสงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เปล่งแสงทรงกรดออกมาจางๆ แลดูคล้ายกับเกล็ดของมัจฉา และดูเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่นานวิหคจิตวิญญาณก็ค่อยๆ พาทั้งสามร่อนลงไปยังสิ่งก่อสร้างที่สร้างติดภูเขาทางด้านตะวันออก
“สหายทั้งสอง เชิญ!”
หลังจากหลิ่วหมิงกับซินหยวนลงจากหลังกระเรียนเขียวแล้ว เหวยอวิ๋นเองก็กระโดดตามมาอย่างรวดเร็ว และโยนวงแหวนออกไปเก็บวิหคจิตวิญญาณ
จากนั้นก็พาทั้งสองเข้าไปในสิ่งก่อสร้างด้วยรอยยิ้ม
พอทอดสายตามองออกไป จะค้นพบว่าที่ทำการของพรรคฉางเฟิงค่อนข้างใหญ่โตรโหฐานมาก โดยสร้างขึ้นจากหินสีดำขนาดใหญ่เป็นชั้นๆ ซึ่งสูงหลายสิบจั้ง
บริเวณรอบด้านมีสิ่งก่อสร้างขนาดสูงต่ำตั้งอยู่จำนวนมาก มีคนเข้าออกตลอดเวลา แลดูคึกคักยิ่งนัก และดูคล้ายกับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
และด้านนอกที่ทำการพรรค มีกำแพงที่ก่อสร้างมาจากอิฐสีดำขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีชายหนุ่มสวมชุดทะมัดทะแมงสีเขียวยืนอยู่ตรงประตู
ภายใต้การนำของเหวยอวิ๋น หลิ่วหมิงกับซินหยวนจึงเข้าเมืองโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ หลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงลานหน้าห้องมุขงดงามแห่งหนึ่ง
หน้าลานมีหินสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นมีอักขระสีทองจางๆ สลักไว้ว่า ‘ลานฉางเฟิง’
“ที่นี่เป็นสถานที่รับแขกของพรรคเรา สหายทั้งสองพักผ่อนกันก่อน ลองชิมชาจิตวิญญาณของพรรคเราดู”
เหวยอวิ๋นพาทั้งสองมายังศาลาหินที่ตกแต่งอย่างหรูหรา และทำการปรบมืออยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นานหญิงรับใช้ใบหน้างดงาม ก็นำชาที่มีกลิ่นหอมกรุ่นมาหนึ่งกา จากนั้นชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ก็กำชับเบาๆ ไปสองสามประโยค ก่อนที่จะบอกให้นางออกไป
หลิ่วหมิงกับซินหยวนจิบชาไปพลาง พูดคุยเกี่ยวกับประเพณีพิเศษบนเกาะมัจฉาเขียวกับเหวยอวิ๋นไปพลาง
ในขณะที่ฉิบชา หลิ่วหมิงก็ฟังเหวยอวิ๋นเล่าเรื่องราวแปลกมหัศจรรย์ในเขตทะเลหนานไห่ไปด้วย ด้วยคำพูดที่คมคายเฉียบแหลมของเขา ทำให้หลิ่วหมิงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแล้วชาจิตวิญญาณที่ชื่อว่า ‘ดารามืด’ นี้ ไม่เพียงแค่มีกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นพิเศษ แต่ในขณะที่เปิดฝาถ้วยจะเห็นว่าน้ำชาเป็นสีดำทั้งหมด ใบชาที่อยู่ในนั้นก็ดูคล้ายกับดวงดาวเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำชาสีดำ ทำให้รู้สึกราวกับกำลังมองภาพราตรีอันมีเสน่ห์ในถ้วยชา”
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป
“ฮ่าๆ คุณชายเหวย ได้ยินมาว่าท่านเชิญสหายที่มีระดับการฝึกฝนไม่ธรรมดามาสองคน ตอนนี้ท่านประมุขไม่อยู่บนเกาะ ข้าเลยมาดูสักหน่อย” เสียงหัวเราะอย่างเปิดเผยดังมาจากนอกลาน พอเงาร่างสีเหลืองเปล่งประกายตรงประตู ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“รองประมุขฟ่าน” เหวยอวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนทันที
หลิ่วหมิงก็รีบสังเกตคนผู้นี้เช่นกัน เขาค้นพบว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้ สวมชุดคลุมสีเหลือง รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ โครงหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดูจากใบหน้าแล้วเหมือนจะอายุน้อยกว่าเหวยอวิ๋นสองสามปี
ฟังจากการเรียกขานของเหวยอวิ๋นแล้ว คนผู้นี้ก็คือรองประมุขพรรคฉางเฟิงที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายนั่นเอง
และพอชายฉกรรจ์เดินมาถึงตรงหน้าคนทั้งสาม ก็มีกลิ่นไอหนักแน่นราวกับภูเขาแผ่ออกมา ราวกับผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับเป็นภูเขาที่สูงตระหง่าน ดูก็รู้ว่าเขาสำเร็จวิชาเฉพาะบางอย่าง ถึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเช่นนี้
“ท่านรองประมุขพรรค สหายสองท่านนี้คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน” เหวยอวิ๋นแนะนำด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เป็นเกียรติยิ่งนัก เป็นเกียรติยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงทั้งสองลุกขึ้นมาอย่างไม่รอรี ขณะเดียวกันก็คุมมือคารวะ และกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! สหายทั้งสองไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้าฟ่านเจิ้ง เป็นรองประมุขพรรคฉางเฟิง” ชายฉกรรจ์ชุดเหลืองหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นทั้งสี่ก็นั่งลง และไม่นานก็มีคนมารินชาให้
พวกเขาบอกชื่อแซ่เป็นพิธีรีตองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเหวยอวิ๋นก็เล่าเรื่องที่พบเจอหลิ่วหมิงทั้งสองไปหนึ่งรอบ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าสหายทั้งสองมาทะเลหนานไห่เป็นครั้งแรกสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมอีก คุณชายเหวยคงได้พูดกับท่านทั้งสองแล้ว พรรคของเราในขณะนี้ กำลังขาดแคลนผู้ที่มีความสามารถ ท่านทั้งสองสนใจมาเป็นแขกของพรรคฉางเฟิงเราหรือไม่?” ฟ่านเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็สบตากับซินหยวนทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ฟ่านเจิ้งกลับโบกมือปัด
“สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้ข้าพูดสักสองสามประโยคแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ที่ข้าต้องการเน้นย้ำมีเพียงแค่สองจุดเท่านั้น จุดแรก ในบรรดาเกาะต่างๆ ของทะเลหนานไห่ พรรคฉางเฟิงเราก็นับว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง ผู้ที่เป็นแขกของพรรคไม่เพียงแต่จะได้รับถ้ำชีพจรจิตวิญญาณของพรรคเราเป็นสถานที่ฝึกฝนเท่านั้น ทุกเดือนยังได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนจำนวนไม่น้อย”
“จุดที่สอง เทียบกับกลุ่มอื่นๆ แล้ว พรรคของเรามีภาระให้กับผู้ที่มาเป็นแขกของพรรคน้อยมาก หากไม่พอใจก็สามารถถอนตัวออกได้ตลอดเวลา ขอเพียงแค่ไม่ไปเข้าร่วมกลุ่มอิทธิพลที่เป็นศัตรูกับพรรคเราเท่านั้น และจะไม่มีผลกระทบใดๆ ตามมาในภายหลัง ตอนนี้ท่านทั้งสองลองดูสักปีก่อนก็ได้ หากไม่ชินล่ะก็ สามารถออกได้ตลอดเวลา และจะไม่มีใครห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย”
พอซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าประทับใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยปากถามออกมา
“ข้อเสนอของพรรคท่านดีงามมาก แต่ข้าน้อยอยากขอถามสักประโยค หากพรรคฉางเฟิงทำการต่อสู้กับพรรคอื่นๆ แขกอาวุโสต้องเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา