“เรื่องนี้สำคัญมาก ให้ข้าพิจารณาดูก่อน”
ฟางเหยายิ้มบางๆ แล้วหยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารยื่นให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“ความจริง หากไม่ใช้ถุงพิษของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิต ข้าก็สามารถจัดโอสถถอนพิษอย่างอื่นให้สหายได้ แต่ประการแรก มันต้องใช้เวลานานมาก ดูจากเวลาแล้วคงจะไม่ทัน ประการที่สอง ผลลัพธ์ของโอสถถอนพิษอื่นๆ ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจมากนัก บางทีอาจจะไม่สามารถขับพิษในร่างสหายออกไปได้หมด จากการสังเกตของข้า พิษสะสมในร่างสหายมาเป็นเวลานาน และมีจำนวนมาก ถึงแม้ข้าจะจัดโอสถชนิดอื่นให้ระงับพิษไว้ชั่วคราว แต่คิดว่ามันคงได้ผลไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้ยิ่งถอนพิษได้เร็วก็ยิ่งดี เพราะเมื่อข้าได้ถุงพิษอสูรตั๊กแตนโลหิตมาแล้ว ก็ต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่งในการปรุงโอสถถอนพิษ สหายรีบตัดสินใจโดยเร็วเถิด หากยอมไปทำลายรังของอสูรตั๊กแตนโลหิตด้วยกันล่ะก็ สามารถติดต่อผ่านสิ่งนี้ได้ตลอดเวลา”
หลิ่วหมิงฟังจบก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ายังคงดูสงบ หลังจากรับแผ่นค่ายกลจากอีกฝ่ายและกล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็ออกไปจากสถานที่แห่งนี้
พอเขาออกไปจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่ได้กลับไปยังเกาะมัจฉาเขียว แต่กลับพุ่งไปยังทิศทางอื่น
ก่อนที่จะมาเกาะแห่งนี้ เขาได้ไปสอบถามเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนที่มีชื่อเสียงทางด้านการแพทย์ในเขตอิทธิพลของพรรคฉางเฟิงมาโดยเฉพาะ
และด้วยนิสัยของหลิ่วหมิง เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสใดๆ ให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน
……
สองวันผ่านไป บนเกาะแห่งหนึ่งที่ห่างจากเกาะมัจฉาเขียวไปไม่ไกล
หลิ่วหมิงเดินออกมาจากบ้านไม้หลังหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้านหลังของเขายังมีผู้อาวุโสสวมชุดผ้าป่านอยู่คนหนึ่ง
“พิษในตัวของสหายมีลักษณะแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าคิดไปคิดมาแล้ว ก็ยังหาวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถุงพิษอสูรตั๊กแตนโลหิตที่สหายพูดถึงในก่อนหน้านั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของข้า วิธีการใช้พิษต้านพิษแปลกประหลาดนี้ ค่อนข้างได้ผลมาก แต่วิธีการนี้ก็อันตรายไม่น้อย หากไม่มีความมั่นใจพอ อาจจะผิดพลาดได้”
หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ใจเต้นเล็กน้อย ทันใดเขาก็ประสานมือกล่าว
“ขอบคุณผู้อาวุโสเก่อที่ชี้แนะ หากถึงเวลาวิกฤตของชีวิต ย่อมไม่อาจคำนึงอะไรได้มาก”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใช่สิ! บริเวณนี้ยังมีสหายฟางเหยาที่มีวิชาแพทย์สูงกว่าข้ามาก คนผู้นี้มีวิชาแพทย์ล้ำลึก หากเขายอมยื่นมือเข้าช่วย บางทีอาจจะหาวิธีถอนพิษได้ แต่ดูเหมือนเขาจะชอบอยู่สันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้คนภายนอกมากนัก” ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านพยักหน้าและกำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ดูเหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถึงกล่าวออกมาในฉับพลัน
หลิ่วหมิงได้ยินก็ได้แต่ยิ้มในใจอย่างขมขื่น แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็ขี่เมฆเหาะจากไป
ทิศทางที่เขาไปครั้งนี้ก็คือเกาะมัจฉาเขียวนั่นเอง
หลายวันนี้ เขาไปเยี่ยมเยียนผู้ฝึกฝนที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ในบริเวณใกล้ๆ แต่คนเหล่านี้ต่างก็ไม่มีวิธีจัดการพิษในร่างของเขา มีสองสามคนที่พูดถึงวิธีการถอนพิษ แต่กลับต้องใช้เวลานานมาก ทั้งยังมีความเชื่อมั่นไม่มาก
เปรียบเทียบดูแล้ว วิธีการของฟางเหยาน่าเชื่อถือกว่ามาก เพราะเรื่องการใช้พิษต้านพิษ เขาเองก็เคยได้รับการยืนยันจากคนอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้มาก
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง คงได้แต่กลับไปดูสถานการณ์ทางด้านซินหยวนแล้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนกันยาวๆ
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พอดีดนิ้วออก ยันต์ผืนหนึ่งก็พุ่งออกไป จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวจมลงบนก้อนเมฆที่เหยียบอยู่ ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
หนึ่งวันผ่านไป เขาก็มองเห็นเงาของเกาะมัจฉาเขียวอยู่ไกลๆ
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในเกาะมัจฉาเขียวแล้ว ก็ร่อนลงไปหน้าถ้ำที่พักของซินหยวนทันที
แต่หลังจากเขาเคาะประตูแล้ว ถึงทราบจากหญิงรับใช้ที่เดินออกมาจากด้านในว่า ตั้งแต่ซินหยวนออกไปข้างนอกยังไม่ได้กลับเข้ามาเลย
หลังจากหลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้ว ก็กลับไปยังถ้ำที่พักของตนเองก่อน
ผ่านไปครึ่งวัน ซินหยวนก็มาหาเขาถึงที่พักด้วยความดีใจ และพริบตาที่เจอหลิ่วหมิงในห้องโถง เขาก็หยิบขวดเล็กหลากสีออกมาสองสามใบ
หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองมาด้วยความยินดี
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังจ้องมองขวดว่างเปล่าสองสามใบตรงหน้า และสบตากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
หลังจากลองทานโอสถจิตวิญญาณของพรรคฉางเฟิงเหล่านี้แล้ว กลับดูเหมือนจะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เลย
“แขกพรรคฉางเฟิงเหล่านั้น คุยโม้สรรพคุณของโอสถเหล่านี้จนลิงหลับ สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย” ซินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ไม่ว่าใครก็ตามที่ทนทรมานสองสามวัน จนทำให้ตนเองอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่สุดท้ายกลับพบว่ามันไร้ประโยชน์ ย่อมอารมณ์เสียเป็นธรรมดา
“เพราะนี่เป็นพิษที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ปรุงขึ้นมา โอสถที่พรรคฉางเฟิงรวบรวมมา จะไร้ประโยชน์ก็เป็นเรื่องธรรมดา” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ดูท่าแผนการในตอนนี้ คงต้องไปสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิตกับฟางเหยาแล้ว” ซินหยวนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงได้เล่าเรื่องการเสาะหาผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ของตนเองให้ซินหยวนฟังไปหนึ่งรอบแล้ว
“ข้าเองก็มีความคิดเช่นนี้ แต่เรื่องนี้อาจมีอันตรายเล็กน้อย ข้ากับเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ทั้งสองหารือกันอีกรอบ ไม่ว่าที่ฟางเหยาพูดมาจะเป็นจริงหรือเท็จ พวกเขาก็จะตอบรับข้อเสนอของฟางเหยาไปทำลายรังอสูรตั๊กแตนโลหิตก่อน
เพราะด้วยพลังของทั้งสอง ย่อมไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลับสัตย์แต่อย่างใด
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หลิ่วหมิงก็หยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารออกมาติดต่อกับฟางเหยา
สำหรับซินหยวนที่หลิ่วหมิงแนะนำให้ ฟางเหยาย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด
เพราะว่าอสูรตั๊กแตนโลหิตนั้นมีจำนวนมาก ยิ่งมีคนมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา