พอซินหยวนนำป้ายหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก เขาก็รู้รายละเอียดของภารกิจนี้
ที่แท้อสูรทารกเป็นอสูรสมุทรระดับของเหลวขั้นต้น แม้ว่าระบบน้ำภายในร่างจะน่าทึ่ง แต่มันหวาดกลัวพลังของอัคคีมาก และแก่นปีศาจของมันก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการปรุงโอสถ แต่เหตุที่เรียกชื่อมันเช่นนี้ ก็เพราะว่าเสียงของมันเหมือนกับเสียงร้องของทารกมาก
อสูรชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในกลุ่มหินปะการัง และห่างจากทางใต้ของเกาะมัจฉาเขียวไปไม่ไกล ก็มีเกาะหินปะการังอยู่แห่งหนึ่ง
ซินหยวนคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเดินออกจากหอคุณูปการอย่างรวดเร็ว กระบองเหล็กในมือกลายเป็นแสงสีดำพร้อมกับเขา จากนั้นก็พุ่งไปทางใต้ของเกาะทันที
……
หลังจากหลิ่วหมิงเหาะมาเกือบครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงเหนือเกาะสีเขียวเล็กๆ แห่งหนึ่งในเวลาเที่ยงตรงพอดี
บนเกาะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่มีต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามเต็มไปหมด พื้นที่จำนวนไม่น้อยถูกถางเป็นแปลงสมุนไพร บนนั้นมีพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ เต็มไปหมด นอกจากนี้ สถานที่อื่นๆ ของเกาะยังมีเนินเขาอยู่เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมงดงามแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงเหาะวนอยู่บนอากาศครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจว่ามาถึงจุดหมายแล้ว เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงไปยังตีนเขาของยอดเขางดงามลูกหนึ่ง
หลังจากปล่อยพลังจิตตรวจดูสถานการณ์บริเวณรอบๆ แล้ว ร่างของเขาก็แวบมาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูหินสีดำบานใหญ่
เขายังไม่ทันได้เคาะประตู มันก็ส่งเสียงดังแกร๊กแล้วเปิดออกมาเอง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก แต่มีเด็กคนหนึ่งโผล่ศีรษะออกมา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงก็ถามอย่างระมัดระวัง
“ท่านเป็นใคร?”
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นแขกของพรรคฉางเฟิง วันนี้จะมาเยี่ยมเยียนสหายฟางเหยา รบกวนสหายน้อยรายงานให้ข้าหน่อย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องรายงานแล้ว! ข้าไม่พบคนอื่นที่ไม่ใช่แขกของพรรคฉางเฟิง! สหายนำป้ายออกมาให้ดูได้หรือไม่?” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่มีพลังดังมาจากด้านหลังของเด็กน้อย
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วในทันที พอสะบัดแขนเสื้อ กลุ่มแสงสีเขียวก็ปรากฏออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นป้ายที่เปล่งประกายแสงสีเขียว
พอเด็กน้อยรับป้ายไปแล้ว ก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
“ที่แท้ก็เป็นสหายหลิ่ว เชิญเข้ามาเถิด!” ไม่นานก็มีเสียงของชายผู้นั้นดังออกมาจากในถ้ำอีกครั้ง
เด็กน้อยเดินออกมาคืนป้ายให้หลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็พาเขาเดินเข้าไปด้านใน
ดูจากภายนอก ถ้ำแห่งนี้ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อย แต่ด้านในกลับมีขนาดใหญ่กว่าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงบนเกาะมัจฉาเขียวมาก ระเบียงคดเคี้ยวสายหนึ่งเชื่อมผ่านห้องหินหลายแห่ง
ไม่นานหลิ่วหมิงก็ถูกเด็กน้อยพามาถึงห้องโถงขนาดค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ตรงจุดสิ้นสุดของระเบียงทางเดิน ในนั้นมีเก้าอี้ไม้จัดวางอย่างง่ายๆ ผนังหินทั้งสองด้านต่างก็มีประตูหินอยู่ ดูเหมือนกับว่ามันเชื่อมต่อกับทางเดินอีกสองแห่ง
“สหายหลิ่วจิบชาจิตวิญญาณรอสักครู่ ข้ากำลังปรุงโอสถอยู่ ต้อนรับไม่ดีต้องขออภัยด้วย” เสียงของชายในก่อนหน้านั้นดังออกมาจากประตูหินทางด้านซ้าย
“สหายฟางไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ หากมีธุระล่ะก็ รีบทำให้เสร็จเถอะ เป็นข้าน้อยต่างหากที่มารบกวนท่าน” หลิ่วหมิงตอบกลับเสียงดัง
ก่อนหน้าที่เขาเหยียบเข้ามาในนี้ ก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่มาจากประตูทางด้านซ้าย คิดว่าคงเป็นที่ปรุงโอสถของฟางเหยาผู้นั้น
ขณะนี้ หลังจากสหายน้อยรอจนหลิ่วหมิงนั่งลงไปแล้ว เขาก็ประคองถาดไม้นำชาจิตวิญญาณมาให้ถ้วยหนึ่ง
หลิ่วหมิงก้มมองน้ำชาในถ้วยอย่างละเอียด เขาค้นพบว่าน้ำชาใสแจ๋วมาก ทั้งยังมีสีเขียวหยก และส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
เขาก้มจิบชาไปหนึ่งที ตอนแรกก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่พอกลืนลงคอกลับรู้สึกเย็นชุ่มคอมาก พริบตาเดียว ก็แผ่คลุมไปตามชีพจรต่างๆ ทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าชาชนิดนี้จะมีผลลัพธ์ขนาดนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรอคอยการที่จะได้พบเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก
เวลาต่อมา เขาค่อยๆ จิบชารอคอยอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขามองไปยังภาพวาดแปลกประหลาดบนผนังหินที่มีอักขระสีแดงสลักอยู่เต็มไปหมด และแสดงสีหน้าสนใจขึ้นมา
“อ่าว! ที่แท้สหายก็รู้วิชาปรุงโอสถด้วยหรือ?” ขณะที่หลิ่วหมิงมองดูอย่างเพลิดเพลินนั้น ก็มีเงาร่างคลื่นไหวตรงประตูทางด้านซ้าย จากนั้นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเทาก็เดินออกมา
คนผู้นี้ดูมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมสูง ใบหน้าดูมีสง่า ขณะนี้กำลังฟั่นหนวดและจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“คิดว่าท่านคงเป็นสหายฟาง หลายปีก่อนข้าเคยเรียนวิชาปรุงโอสถมาเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับสหายแล้วมันไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ประสานมือคารวะและกล่าวอย่างถ่อมตน
“แม้ข้าจะอาศัยอยู่นอกเกาะ แต่ก็พอจะได้ยินมาว่า เมื่อหลายเดือนก่อนมีสหายใหม่สองคนเข้าร่วมพรรค คิดว่าสหายหลิ่วคงเป็นหนึ่งในนั้น” ฟางเหยาสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที และเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลักในห้องโถง
“ไม่ผิด! ข้าน้อยเข้าร่วมพรรคฉางเฟิงเมื่อไม่นานมานี้ ความจริงที่ข้ามาเยี่ยมเยียนสหายในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากขอให้ช่วย” หลิ่วหมิงพยักหน้าและกล่าวออกมาตามตรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา