พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกตกตะลึง ปากก็ขานตอบรับแล้วเปิดประตูเดินออกไปยังลานที่พัก
พอออกไปก็เห็นสือชวนและเด็กหนุ่มผมแดงที่ชื่ออวี๋เฉิ่งยืนอยู่
อวี๋เฉิงเห็นหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาเล็กน้อย
“ศิษย์พี่สือ อาจารย์กุยเรียกข้าหรือ?” หลิ่วหมิงเดินเข้าไปถาม
“ไม่ใช่แค่อาจารย์กุยคนเดียว อาจารย์อาจู อาจารย์ป้าจงก็รอเจ้ากับอวี๋เฉิงอยู่ที่หอใหญ่บนยอดเขาแล้ว เอ๋…ศิษย์น้องไป๋ เจ้าบรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณแล้ว!” สือชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วพินิจดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนขึ้นมา เขาถามกลับไปทันที
ตอนนี้หลิ่วหมิง เพิ่งจะบรรลุขั้นได้ไม่นาน ยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทได้ดีเท่าที่ควร พริบตาเดียวก็ถูกศิษย์พี่สือมองออกแล้ว
“ศิษย์พี่ช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ไม่กี่วันก่อนศิษย์น้องเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณ” หลิ่วยอมรับตรงๆ โดยไม่มีเจตนาปิดบัง
พอสือชวนได้ยินคำพูดนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นสุขุม แต่ก็แสดงหน้าตาเหลือเชื่อออกมาอย่างอดไม่ได้
ส่วนอวี๋เฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตาค้างเลยทีเดียว
“ที่แท้ศิษย์น้องมีความสามารถในการฝึกฝนเช่นนี้ เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีก็สามารถฝึกจนบรรลุขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณได้ ความเร็วในการฝึกฝนระดับนี้เกรงว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องเซียวเฟิงแม้แต่น้อย” ผ่านไปสักครู่สือชวนถึงเก็บสีหน้าได้ และฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องไหนเลยจะนับว่ามีสามารถในการฝึกฝน ก็แค่โชคดีที่บรรลุขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณได้รวดเร็วเท่านั้น” หลิ่วหมิงกลับกล่าวอย่างสงบ
“ศิษย์น้องไป๋ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ต่อให้ศิษย์น้องจะกินโอสถอะไรที่มันสามารถเพิ่มพลังเวทได้ แต่ว่าขั้นกลางกับขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง ขั้นต้นนั้นไม่ว่าใครก็ก็สามารถบรรลุเข้าไปได้ แต่ขั้นกลางก็เริ่มมีเหตุการณ์คอขวดเกิดขึ้นแล้ว ตามที่ข้าทราบมาศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณหลายคนต่างก็ติดอยู่ในขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณเป็นเวลาหลายปีโดยไม่สามารถบรรลุขั้นได้ แต่ศิษย์น้องไป๋อาศัยพลังจากโอสถในการช่วยเพิ่มพลังเวท มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก พลังเวทที่บริสุทธิ์นั้นตนเองจะต้องค่อยๆ ฝึกฝน ต่อไปถ้าเจอปัญหาคอขวดเข้าล่ะก็ การต้านทานแรงของมันควรลดลงมาหน่อย” สือชวนได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
อวี๋เฉิงได้ยินดังนี้ ก็แสดงสีหน้าดูเข้าใจออกมา
สือชวนประจักษ์แจ้งว่าที่หลิ่วหมิงฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้ คิดว่าคงได้โอสถบางอย่างในการเพิ่มพลังเวท
และในนิกายปีศาจก็มีโอสถหลายชนิดในการเพิ่มพลังเวทจริงๆ แต่ใช้ได้ผลกับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ทั้งยังต้องใช้แต้มคุณูปการในการแลกเป็นจำนวนมาก ศิษย์นิกายสายในทั่วไปน้อยคนที่จะไปแลกมัน
สำหรับศิษย์ส่วนมากแล้ว ในระดับศิษย์จิตวิญญาณนั้นขอแค่ไม่เจอกับปัญหาคอขวด ขอแค่ใช้เวลาในการฝึกฝนที่มากพอ พลังเวทก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเอง แต่ถ้าหากว่าพบเจอปัญหาคอขวดแล้วใช้โอสถเพื่อเพิ่มพลังเวทล้วนไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้แต้มคุณูปการของนิกายออกจะมีค่าขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมเก็บไว้แลกอย่างอื่นดีกว่า
แน่นอนว่าการใช้โอสถเพื่อเพิ่มพลังเวทก็เป็นแบบที่สือชวนกล่าวนั้น ซึ่งความบริสุทธิ์ของพลังเวทเทียบไม่ได้กับการฝึกฝนด้วยตนเอง
พลังเวทจากเลือดเนื้อหนูยักษ์ที่หลิ่วหมิงกินไปนั้น กลับไม่มีข้อเสียเช่นนี้
อย่างไรพลังเวทจากเลือดเนื้อนี้ ก็เป็นพลังเวทที่ปีศาจอสูรฝึกฝนขึ้นมาเอง และพลังเวทที่ยังสามารถหลงเหลืออยู่ในร่างกายได้ถึงแม้จะตายไปแล้วนั้น ยิ่งเป็นพลังเวทชั้นเยี่ยมของปีศาจอสูรเลยทีเดียว
แต่คิดที่จะอาศัยเลือดเนื้อของปีศาจอสูรมาเพิ่มพลังเวทยิ่งไม่น่าเชื่อมั่นเท่าวิธีการอาศัยโอสถมาเพิ่มพลังเวท
ต้องกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรที่อยู่ในขั้นการฝึกฝนที่สูงกว่าตนเองถึงจะได้ผล แต่ถ้าต้องเผชิญกับปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เวลานั้นใครจะกินใครก็ไม่รู้ และเลือดเนื้อปีศาจอสูรถ้ากินเยอะไปก็มีผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาในภายหลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงแม้มีคนเต็มใจที่จะลอง แต่ในแคว้นต้าเสวียนนี้ปีศาจอสูรนั้นก็มีอยู่น้อยมาก อสูรระดับอาจารย์จิตวิญญาณนั้นยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่
หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอจากคัมภีร์โบราณมาบ้าง ย่อมรู้เรื่องทั้งหมดเหล่านี้อยู่แล้ว แต่พอเห็นสือชวนและอวี๋เฉิงเข้าใจตนผิด ก็ยิ้มออกมาทันที แต่ก็ไม่ได้กล่าวแก้ตัวอะไรออกมา
เลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์ขนเขียวนั้น ถึงแม้จะลงไปในท้องแล้วถูกคนอื่นๆ ในนิกายจับได้ ก็ไม่มีทางเลี่ยงแล้ว แต่การที่พวกเขาไม่รู้มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ศิษย์น้องจะจดจำไว้ ใช่สิ ไม่ทราบว่าอาจารย์กุยเรียกข้ากับศิษย์น้องอวี๋ไปทำไม ศิษย์พี่พอจะรู้บ้างไหม?” หลิ่วหมิงตอบรับแบบคลุมเครือ แล้วถามกลับด้วยความสงสัย
“อันนี้ข้าไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าเกี่ยวกับหุบเขาเก้าช่อง และนอกจากเจ้าทั้งสองแล้ว ศิษย์น้องเซียวเฟิงก็ถูกเรียกไปเหมือนกัน” สือชวนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“หุบเขาเก้าช่อง?” หลิ่วหมิงได้ยินชื่อก็รู้สึกแปลกใจ
หุบเขาเก้าช่องเป็นหนึ่งในห้าของนิกายที่มีชื่อเสียงในแคว้นต้าเสวียน ไม่ว่าจะเป็นพลัง หรืออันดับชื่อเสียงล้วนอยู่สูงกว่านิกายปีศาจทั้งหมด และนอกจากเขาจะรู้มาบ้างว่านิกายนี้ชำนาญวิชาเกี่ยวกับหุ่นนักรบแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องราวอื่นๆ อีกเลย
ช่วงที่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่นั้น ทั้งสามคนก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังยอดเขาแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา