ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 45

พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกตกตะลึง ปากก็ขานตอบรับแล้วเปิดประตูเดินออกไปยังลานที่พัก

พอออกไปก็เห็นสือชวนและเด็กหนุ่มผมแดงที่ชื่ออวี๋เฉิ่งยืนอยู่

อวี๋เฉิงเห็นหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาเล็กน้อย

“ศิษย์พี่สือ อาจารย์กุยเรียกข้าหรือ?” หลิ่วหมิงเดินเข้าไปถาม

“ไม่ใช่แค่อาจารย์กุยคนเดียว อาจารย์อาจู อาจารย์ป้าจงก็รอเจ้ากับอวี๋เฉิงอยู่ที่หอใหญ่บนยอดเขาแล้ว เอ๋…ศิษย์น้องไป๋ เจ้าบรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณแล้ว!” สือชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วพินิจดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนขึ้นมา เขาถามกลับไปทันที

ตอนนี้หลิ่วหมิง เพิ่งจะบรรลุขั้นได้ไม่นาน ยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทได้ดีเท่าที่ควร พริบตาเดียวก็ถูกศิษย์พี่สือมองออกแล้ว

“ศิษย์พี่ช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ไม่กี่วันก่อนศิษย์น้องเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณ” หลิ่วยอมรับตรงๆ โดยไม่มีเจตนาปิดบัง

พอสือชวนได้ยินคำพูดนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นสุขุม แต่ก็แสดงหน้าตาเหลือเชื่อออกมาอย่างอดไม่ได้

ส่วนอวี๋เฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตาค้างเลยทีเดียว

“ที่แท้ศิษย์น้องมีความสามารถในการฝึกฝนเช่นนี้ เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีก็สามารถฝึกจนบรรลุขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณได้ ความเร็วในการฝึกฝนระดับนี้เกรงว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องเซียวเฟิงแม้แต่น้อย” ผ่านไปสักครู่สือชวนถึงเก็บสีหน้าได้ และฝืนยิ้มกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องไหนเลยจะนับว่ามีสามารถในการฝึกฝน ก็แค่โชคดีที่บรรลุขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณได้รวดเร็วเท่านั้น” หลิ่วหมิงกลับกล่าวอย่างสงบ

“ศิษย์น้องไป๋ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ต่อให้ศิษย์น้องจะกินโอสถอะไรที่มันสามารถเพิ่มพลังเวทได้ แต่ว่าขั้นกลางกับขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง ขั้นต้นนั้นไม่ว่าใครก็ก็สามารถบรรลุเข้าไปได้ แต่ขั้นกลางก็เริ่มมีเหตุการณ์คอขวดเกิดขึ้นแล้ว ตามที่ข้าทราบมาศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณหลายคนต่างก็ติดอยู่ในขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณเป็นเวลาหลายปีโดยไม่สามารถบรรลุขั้นได้ แต่ศิษย์น้องไป๋อาศัยพลังจากโอสถในการช่วยเพิ่มพลังเวท มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดมากนัก พลังเวทที่บริสุทธิ์นั้นตนเองจะต้องค่อยๆ ฝึกฝน ต่อไปถ้าเจอปัญหาคอขวดเข้าล่ะก็ การต้านทานแรงของมันควรลดลงมาหน่อย” สือชวนได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง

อวี๋เฉิงได้ยินดังนี้ ก็แสดงสีหน้าดูเข้าใจออกมา

สือชวนประจักษ์แจ้งว่าที่หลิ่วหมิงฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้ คิดว่าคงได้โอสถบางอย่างในการเพิ่มพลังเวท

และในนิกายปีศาจก็มีโอสถหลายชนิดในการเพิ่มพลังเวทจริงๆ แต่ใช้ได้ผลกับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ทั้งยังต้องใช้แต้มคุณูปการในการแลกเป็นจำนวนมาก ศิษย์นิกายสายในทั่วไปน้อยคนที่จะไปแลกมัน

สำหรับศิษย์ส่วนมากแล้ว ในระดับศิษย์จิตวิญญาณนั้นขอแค่ไม่เจอกับปัญหาคอขวด ขอแค่ใช้เวลาในการฝึกฝนที่มากพอ พลังเวทก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเอง แต่ถ้าหากว่าพบเจอปัญหาคอขวดแล้วใช้โอสถเพื่อเพิ่มพลังเวทล้วนไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้แต้มคุณูปการของนิกายออกจะมีค่าขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมเก็บไว้แลกอย่างอื่นดีกว่า

แน่นอนว่าการใช้โอสถเพื่อเพิ่มพลังเวทก็เป็นแบบที่สือชวนกล่าวนั้น ซึ่งความบริสุทธิ์ของพลังเวทเทียบไม่ได้กับการฝึกฝนด้วยตนเอง

พลังเวทจากเลือดเนื้อหนูยักษ์ที่หลิ่วหมิงกินไปนั้น กลับไม่มีข้อเสียเช่นนี้

อย่างไรพลังเวทจากเลือดเนื้อนี้ ก็เป็นพลังเวทที่ปีศาจอสูรฝึกฝนขึ้นมาเอง และพลังเวทที่ยังสามารถหลงเหลืออยู่ในร่างกายได้ถึงแม้จะตายไปแล้วนั้น ยิ่งเป็นพลังเวทชั้นเยี่ยมของปีศาจอสูรเลยทีเดียว

แต่คิดที่จะอาศัยเลือดเนื้อของปีศาจอสูรมาเพิ่มพลังเวทยิ่งไม่น่าเชื่อมั่นเท่าวิธีการอาศัยโอสถมาเพิ่มพลังเวท

ต้องกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรที่อยู่ในขั้นการฝึกฝนที่สูงกว่าตนเองถึงจะได้ผล แต่ถ้าต้องเผชิญกับปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เวลานั้นใครจะกินใครก็ไม่รู้ และเลือดเนื้อปีศาจอสูรถ้ากินเยอะไปก็มีผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาในภายหลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงแม้มีคนเต็มใจที่จะลอง แต่ในแคว้นต้าเสวียนนี้ปีศาจอสูรนั้นก็มีอยู่น้อยมาก อสูรระดับอาจารย์จิตวิญญาณนั้นยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่

หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอจากคัมภีร์โบราณมาบ้าง ย่อมรู้เรื่องทั้งหมดเหล่านี้อยู่แล้ว แต่พอเห็นสือชวนและอวี๋เฉิงเข้าใจตนผิด ก็ยิ้มออกมาทันที แต่ก็ไม่ได้กล่าวแก้ตัวอะไรออกมา

เลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์ขนเขียวนั้น ถึงแม้จะลงไปในท้องแล้วถูกคนอื่นๆ ในนิกายจับได้ ก็ไม่มีทางเลี่ยงแล้ว แต่การที่พวกเขาไม่รู้มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ศิษย์น้องจะจดจำไว้ ใช่สิ ไม่ทราบว่าอาจารย์กุยเรียกข้ากับศิษย์น้องอวี๋ไปทำไม ศิษย์พี่พอจะรู้บ้างไหม?” หลิ่วหมิงตอบรับแบบคลุมเครือ แล้วถามกลับด้วยความสงสัย

“อันนี้ข้าไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าเกี่ยวกับหุบเขาเก้าช่อง และนอกจากเจ้าทั้งสองแล้ว ศิษย์น้องเซียวเฟิงก็ถูกเรียกไปเหมือนกัน” สือชวนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

“หุบเขาเก้าช่อง?” หลิ่วหมิงได้ยินชื่อก็รู้สึกแปลกใจ

หุบเขาเก้าช่องเป็นหนึ่งในห้าของนิกายที่มีชื่อเสียงในแคว้นต้าเสวียน ไม่ว่าจะเป็นพลัง หรืออันดับชื่อเสียงล้วนอยู่สูงกว่านิกายปีศาจทั้งหมด และนอกจากเขาจะรู้มาบ้างว่านิกายนี้ชำนาญวิชาเกี่ยวกับหุ่นนักรบแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องราวอื่นๆ อีกเลย

ช่วงที่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่นั้น ทั้งสามคนก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังยอดเขาแล้ว

ผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิง อวี๋เฉิง เซียวเฟิง ทั้งสามคนต่างก็มายืนอยู่ในหอใหญ่

ไม่ไกลออกไปจากด้านหน้าของพวกเขา กุยหรูฉวนและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้คนละตัว

แต่ว่ากุยหรูฉวนมองหลิ่วหมิงที่บรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณได้สำเร็จอย่างเหนือความคาดหมายไปมาก คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน ผ่านไปชั่วครู่ถึงส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา

“เจ้าอาศัยพลังจากโอสถช่วยลดระยะเวลาในการฝึกฝน มันทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ว่ากลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับเรื่องที่ข้าจะบอกพวกเจ้าต่อไปนี้ ดังนั้นข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้าแล้ว ศิษย์น้องจู เจ้าบอกเรื่องนี้กับพวกเขาทั้งหมดเถอะ”

ตอนนี้สายตาของนักพรตหญิงที่มองไปยังหลิ่วหมองก็ฉายแววผิดหวังออกมา

อาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามท่านในเขาเก้าทารกนี้ ก็มีแต่นักพรตหญิงผู้นี้ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับหลิ่วหมิง หลังจากที่เข้าใจผิดว่าหลิ่วหมิงใช้โอสถในการบรรลุขั้น ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นธรรมดา

“ที่เรียกพวกเจ้าสามคนมาครั้งนี้ เพราะว่าปีก่อนนั้นพวกเรากับมีนัดหมายกับนักพรตสองท่านของนิกายหุบเขาเก้าช่อง…” จูชื่อได้ยินกุยหรูฉวนกล่าวดังนั้น ก็ค่อยๆ เล่าเรื่องขึ้นมา

ที่แท้เจ็ดแปดปีก่อน จูชื่อ นักพรตจง เคยตอบรับคำเชิญของอาจารย์จิตวิญญาณนิกายหุบเขาเก้าช่อง ให้ไปเสี่ยงอันตรายสำรวจดินแดนลี้ลับด้วยกัน จนได้พบกับต้นไม้ที่มีผลจิตวิญญาณเต็มไปหมดต้นหนึ่ง แต่ว่าผลจิตวิญญาณเหล่านี้เพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะสุก ดังนั้นพวกเขาจึงนัดหมายกับฝ่ายตรงข้ามว่าพอมันสุกแล้วก็จะมาแบ่งผลบนต้นไม้กัน แต่หลายวันก่อนพวกเขาได้รับจดหมายที่ศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องนำมา ในจดหมายนั้นบอกว่าผลจิตวิญญาณเหล่านี้ใกล้จะสุกแล้ว และให้ใช้การต่อสู้ของศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายมาเป็นตัวตัดสินในการแบ่งผลจิตวิญญาณเหล่านี้”

และหลังจากที่กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ต่อรองกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินโดยการประลองสามรอบ

หลิ่วหมิงและคนทั้งสองที่เรียกมานี้ คือศิษย์ที่พวกเขาได้คัดเลือกให้ไปประลองฝีมือ

“การประลองนี้ถึงแม้ไม่ใช่การประลองความเป็นความตาย แต่ในเมื่อมันข้องเกี่ยวกับสิ่งของจิตวิญญาณ เมื่อประลองขึ้นมาก็ย่อมไม่สามารถเบามือได้ ดังนั้นมันก็มีความอันตรายในระดับที่อาจเสียชีวิตได้ ถ้าหากว่าพวกเจ้าใครไม่ยินยอมเข้าร่วม ตอนนี้ก็สามารถถอนตัวได้ พวกข้าทั้งสามก็จะไม่บังคับ นอกจากนี้ ในเมื่อให้พวกเจ้าออกแรงแน่นอนว่าย่อมมีสิ่งดีๆ ให้พวกเจ้า ผลจิตวิญญาณเหล่านั้น หลังจากที่พวกข้าได้ตรวจสอบจากคัมภีร์ดูแล้วถึงค้นพบว่ามันคือ ‘ผลหยกสวรรค์’ ใช้ผลนี้ทำเป็นน้ำจิตวิญญาณ มันมีผลอย่างมากสำหรับการฝึกฝนขั้นต้น เอาขัดถูร่างกายชำระล้างไขมันได้ดีจนน่าตกใจ ถ้าหากพวกเจ้าเข้าร่วมการประลองล่ะก็ ขอแค่ชนะแล้วได้ผลจิตวิญญาณกลับมา ต่างก็ย่อมได้รับน้ำจิตวิญญาณนี้เป็นค่าตอบแทน แน่นอนว่าศิษย์ที่ชนะย่อมได้รับมากยิ่งกว่า” จูชื่อกล่าว

“ศิษย์ยินดีเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้!” จูชื่อเพิ่งกล่าวจบ เซียวเฟิงก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล

เขาที่เพิ่งจะบรรลุขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณ ทำให้เขามีความเชื่อมั่นในพลังของตัวเองเป็นอย่างมาก เชื่อมั่นว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ระดับเดียวกัน เลย

“ศิษย์ก็ยินยอมออกแรงช่วยเหลือสาขาของเรา” อวี๋เฉิงก็แสดงอารมณ์คึกคักอยากจะลองดู

หลิ่วหมิงยิ่งไม่กล่าวคำว่า “ไม่ยินยอม” เขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตอบตกลงไปเช่นไป

“ดีมาก พวกเจ้าเป็นศิษย์สามคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ แต่ศิษย์ที่หุบเขาเก้าช่องส่งมาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนพวกเจ้าก็อยู่บนยอดเขานี้ชั่วคราว ฝึกวิธีการต่อสู้กับหุ่นนักรบให้คุ้นเคย พวกข้าทั้งสามจะชี้แนะให้ด้วยตนเอง แบบนี้โอกาสในการชนะของพวกเจ้าก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งถึงสองส่วน” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยความพอใจ

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินดังนี้ต่างก็ค่อยพยักหน้าตอบรับ

ดังนั้นภายในเวลาหนึ่งเดือน หลิ่วหมิงและคนทั้งสองก็ฝึกฝนอยู่ลานฝึกฝนบางแห่งบนยอดเขา ทุกวันต่างก็ทำการสู้รบกับหุ่นนักรบขั้นต่ำ

กุยหรูฉวน และอาจารย์ท่านอื่นๆ ถึงแม้ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชาหุ่นนักรบอย่างลึกซึ้งมากนัก แต่การควบคุมหุ่นนักรบระดับต่ำ การจำลองการโจมตีที่ใช้บ่อยของหุ่นรบนั้นย่อมไม่มีปัญหา

วิธีการโจมตีของหุ่นนักรบขั้นต่ำแต่ละแบบที่แตกต่างกัน และวิธีการโจมตีหลากหลายรูปแบบของผู้ฝึกฝนหุ่นนักรบนี้ยิ่งทำให้หลิ่วหมิงและคนทั้งสองเปิดโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น

แน่นอนว่าในระหว่างการฝึกฝนบางอย่าง หลิ่วหมิงย่อมไม่ใช้วิธีการทั้งหมดของเขา เขาแค่แสดงออกธรรมดาๆ ถึงแม้จะไม่ทำให้อาจารย์ทั้งสามสนใจมากนัก แต่ไม่ทำให้ท่านทั้งสามผิดหวัง

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตาเดียว

วันนี้หลิ่วหมิงกับศิษย์ทั้งสอง และอาจารย์แต่ละท่านต่างก็เดินทางมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง

จูชื่อกล่าวลากับกุยหรูฉวนไม่กี่ประโยคแล้วก็หยิบยันต์สีเหลืองอ่อนออกมาจากตัวแผ่นหนึ่ง มือข้างหนึ่งทำท่ามือแล้วโยนออกไปด้านหน้า

หลังจากมีควันสีขาวออกมากลุ่มหนึ่ง เรือไม้สีเขียวขนาดยาวเจ็ดแปดจั้งโผล่ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน

เรือนลำนี้มีสีเขียวไปทั้งลำ รูปร่างยาวแคบ ภายในเรือมีอักขระแปลกประหลาดสีเงินจางๆ สลักไว้ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความลึกลับเป็นพิเศษ

“เฮ่อๆ มีเรือเหาะหยกจิตวิญญาณของศิษย์น้องจูช่วยในการเดินทางแล้วล่ะก็ การไป-กลับครั้งนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลามากแล้ว” พอกุยหรูฉวนเห็นเรือไม้สีเขียว ก็เอามือลูบหนวดของตัวเองแล้วกล่าวออกมา

“นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในปีนั้นศิษย์พี่จูพบไม้หยกจิตวิญญาณพันปีโดยบังเอิญ และจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากถึงจะเชิญไต้ซืออวี๋มาทุ่มเทเวลาสามปีในการสร้างเรือลำนี้จนสำเร็จล่ะก็ คงไม่ได้รับอาวุธจิตวิญญาณที่เหาะได้ชิ้นนี้ มีอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ติดตัว ขอแค่ไม่พบกับศัตรูตัวฉกาจที่มีทักษะในการหลบหลีกสูง ก็มีระดับเพียงพอต่อการหลบหนีรอดได้” นักพรตจงก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา