ตอน ตอนที่ 44 การต่อสู้เพื่อผลจิตวิญญาณ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 44 การต่อสู้เพื่อผลจิตวิญญาณ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลิ่วหมิงมองดูชายผิวขาวที่สลบอยู่ที่พื้น แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ที่แท้ผู้ที่เขาต่อสู้ด้วยก็ไม่ต่างอะไรกับคนก่อนๆ เลย ดูเหมือนว่าการโจมตีด้วยวิชาแท่งวารี ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน
และดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางที่ไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาสักเท่าไหร่
ถ้าหากเป็นศิษย์คนอื่นๆ ที่ฝึกฝนมากกว่านี้ หรือฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สูงกว่านี้ เขาไม่ต้องใช้แรงมากยิ่งกว่านี้หรอกหรือ
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจ ขยับหัวไหล่เล็กน้อย แล้วก็ตรวจดูสิ่งของของทั้งสามอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด เขาได้พบเจออาวุธอาญาสิทธิ์สามชิ้น หินจิตวิญญาณสามสิบก้อน และโอสถทิพย์ครึ่งขวดกับเศษกระดูกอสูรไม่ทราบชื่อที่ไม่เหมือนกับสิ่งของอื่นๆ
หลิ่วหมิงนำสิ่งของทั้งหมดนี้ห่อเข้าด้วยกัน เอาสะพายขึ้นบ่าเสร็จแล้วก็ขี่เมฆทะยานกลับไปยังนิกายปีศาจ
ครึ่งวันต่อมา เมื่อเขาเข้าไปที่ชั้นสองของหอดำเนินการ ในห้องโถงใหญ่ก็มีคนจอแจอยู่ไม่น้อย แต่ด้านหน้าของป้ายผลึกใสที่ประกาศภารกิจนั้นมีคนกว่าครึ่งหนึ่งเบียดเสียดอยู่ที่นั่น และต่างก็พูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่รีบร้อนเข้าไปดู กลับเดินไปยังด้านหน้าโต๊ะแท่นหินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เขาวางข้องปลาลงบนโต๊ะแท่นหิน
ผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนมองเข้าไปเข้าในข้องปลาทันที แล้วก็พยักหน้ากล่าวชื่นชม
“ไม่เลว เป็นปลาปากเหยี่ยวจริงๆ ถึงแม้ศิษย์น้องไป๋จะอายุยังน้อย แต่ช่วงนี้ก็ทำภารกิจได้สำเร็จไม่น้อย ข้าดูๆ แล้วเจ้ามีแวว ศิษย์น้องเจ้ามุ่งมั่นต่อไปเถอะ”
ผู้ดูแลหอดำเนินการกล่าวไปด้วย รับป้ายชื่อของหลิ่วหมิงมาด้วยความชำนาญเป็นพิเศษ เขานำไม้ตะบองสีเงินแตะลงไปบนนั้น และโยนถุงผ้าที่มีหินจิตวิญญาณเต็มแน่นในนั้นให้
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชม ใช่สิ ช่วงนี้มีภารกิจอะไรบ้าง ทำไมศิษย์พี่มากมายถึงได้ไปรวมตัวอยู่ที่นั่น” หลิ่วหมิงหยิบป้ายชื่อ และหินจิตวิญญาณขึ้นมาแล้วถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ นี่คืออาจารย์ลุงจางแห่งสาขาพิษจิตวิญญาณต้องการศิษย์หลายคนไปช่วยดูเตาปรุงโอสถ แต้มคุณูปการไม่ต้องพูดถึง แต่เพิ่มผลตอบแทนเป็นชี้แนะวิชาปรุงโอสถ ดังนั้นถึงมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก อาจารย์ลุงจางเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถมือหนึ่งของนิกายปีศาจเรา ถ้าหากว่าได้เรียนวิชาปรุงโอสถจากท่านมาสักหน่อย เกรงว่าทั้งชีวิตคงได้ใช้ประโยชน์ได้ไม่ใช่น้อย แต่ก็ต้องทำให้อาจารย์ลุงจางพอใจถึงจะได้!” ผู้ดูแลหอดำเนินการหัวเราะแล้วกล่าวออกมา แต่สีหน้าเขากลับแสดงตรงกันข้าม
“ศิษย์พี่ หรือว่าจะมีความลับอะไรอยู่ในนั้น?” หลิ่วหมิงถามกลับด้วยความสนใจ
“เฮ่อๆ ศิษย์น้องเจ้าสามารถกลับไปดูว่าศิษย์ที่มารับภารกิจนั้นเป็นใครบ้าง?” ผู้ดูแลหอดำเนินการกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ หันหน้ากลับไปดูอย่างอดไม่ได้
เขามองดูชั่วครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ผู้ดูแลหอดำเนินการกลับกล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน
“แต่ก่อนอาจารย์ลุงจางก็เคยประกาศภารกิจแบบนี้หลายครั้ง ศิษย์ที่ไปรับภารกิจก็ไม่รู้ว่ามีมากมายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จจริงๆ ศิษย์ที่รับภารกิจนั้นนอกจากจะโดนอาจารย์ลุงจางด่าอย่างกับหมูกับหมาแล้ว ยังต้องเสียเวลาหลายเดือนไป ทั้งยังไม่ได้รับวิชาปรุงโอสถเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นตอนหลังๆ เมื่อมีภารกิจนี้ขึ้น ศิษย์ที่มีอายุมากหน่อยก็จะไม่สนใจเลย เฮ่อๆ ก็มีแค่เพียงศิษย์น้องที่อายุน้อยๆ เหล่านี้เท่านั้น ที่ยังคงอยากลองดูสักครั้ง”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่กล่าวอะไรมาก แต่เขาก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ‘อาจารย์ลุงจาง’ แห่งสาขาพิษจิตวิญญาณนี้ไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ และเขาก็ละความคิดที่จะไปรับภารกิจนี้ทิ้งไป
ล้มเหลวยังพอว่า แต่เสียเวลาตั้งหลายเดือนนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่ามันไม่คุ้มค่าเลย
แน่นอนว่าแต่ก่อนเขาก็เคยได้ยินจากปากของผู้อื่นมาบ้าง เกี่ยวกับความสามารถพิเศษของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ผู้เชี่ยวชาญการตั้งค่ายกล ผู้เชี่ยวชาญพืชจิตวิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญอสูรจิตวิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญการฝึกปราณเป็นต้น ล้วนได้รับการตอบรับที่ดีในโลกแห่งการฝึกฝน โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่นับว่ามีน้อยมาก สำหรับแต่ละนิกายแล้วไม่สามารถขาดมันไปได้
แต่ลึกๆ ในใจของเขายังค่อนข้างให้ความสนใจกับการปรุงโอสถนี้
ถ้าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถล่ะก็ ขนหนูยักษ์สีเขียวที่ได้รับนั้นก็สามารถนำมาปรุงเป็นโอสถได้ และเพิ่มประสิทธิภาพให้มันมากขึ้นด้วย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากโต๊ะแท่นหิน แต่ตอนที่เดินผ่านป้ายผลึกใสนั้น ก็ค่อยๆ ชะงักฝีเท้าแล้วกวาดตามองไปสักครู่ ครู่เดียวก็หาภารกิจที่อาจารย์ลุงจางผู้นั้นประกาศเจออย่างรวดเร็ว
เป็นอย่างที่ผู้ดูแลหอดำเนินการกล่าวไว้ ศิษย์ที่ดูแลเตาปรุงโอสถสามเดือนจะได้รับแต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้ม และยังได้การชี้แนะวิชาปรุงโอสถ แต่ด้านล่างก็มีข้อความเพิ่มขึ้นมาว่า ถ้าหากไม่สามารถทำภารกิจให้อาจารย์ลุงจางผู้นี้พอใจได้ ก็จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ ทั้งสิ้น
หลิ่วหมิงแสยะปาก เขาเดินไปจากชั้นสองทันที แล้วออกไปจากหอดำเนินการ ขี่เมฆทะยานออกไป
สองเดือนหลังๆ นี้ หลิ่วหมิงก็ไม่ได้ไปจากเขาเก้าทารก เขาได้แต่มุ่งมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ
“ผลจิตวิญญาณเหล่านั้นอยู่ในการควบคุมของพวกเขา ตามที่ข้าทราบว่าศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องก็เข้านิกายเร็วกว่าศิษย์สาขาเราแค่ปีเดียวเท่านั้น พวกเขาก็สัญญาว่าระหว่างการประลองจะไม่ใช้หุ่นนักรบขั้นสามขึ้นไปอย่างแน่นอน พวกเราก็ไม่อาจปฏิเสธได้” จูชื่อกล่าว
“แต่ศิษย์ใหม่ของเราในครั้งนี้ มีทั้งหมดแค่ห้าคน ในนั้นมีแค่เซียวเฟิงที่เพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณ ศิษย์คนอื่นๆ จะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร” นักพรตหญิงกล่าวด้วยความร้อนใจ
จูชื่อได้ยินประโยคนี้คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
“ฮึ! ในเมื่อเป็นเงื่อนไขที่พวกเขาเสนอขึ้น ย่อมมีทางหนีทีไล่ในการต่อรอง ประลองกับพวกเขาทั้งหมดห้ารอบคงไม่ไหว ตอบจดหมายกลับไปว่าประลองแค่สามรอบเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ถึงพวกเราจะไม่ชนะแต่ก็มีความหวังที่จะได้ผลจิตวิญญาณหนึ่งในสามส่วน” ในที่สุดกุยหรูฉวนก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้น แล้วกล่าวออกมา
“ประลองกันสามรอบ? นี่เป็นความเห็นที่ไม่เลว ด้วยพลังของเฟิงเอ๋อร์สามารถชนะได้เจ็ดถึงแปดส่วน” จูชื่อได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
“แล้วสองรอบที่เหลือล่ะจะทำอย่างไร? พวกเราส่งใครไปดี ถึงว่าจะละทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ” นักพรตหญิงกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
“อีกสองคนที่เหลือเหรอ ช่วงนี้เจ้าเด็กอวี๋เฉิงมุ่งมั่นในการฝึกฝนมาก นับเขาไปด้วยคนเถอะ สำหรับอีกคนนั้น ศิษย์ผู้ที่ชื่อไป๋ชงเทียนไม่ใช่ว่าครึ่งปีก่อนได้บรรลุเข้าขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณแล้วเหรอ ตอนนี้อย่างน้อยก็คงมีพลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เพิ่มเขาเข้าไปหาประสบการณ์ก็นับว่าไม่เลว งั้นก็รวมเขาไปด้วยอีกคน พวกเขาสองคนถึงแม้จะแพ้ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากมีคนโชคดีชนะขึ้นมาพวกเราก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย” กุยหรูฉวนคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็ตัดสินใจกล่าวออกมา
จูชื่อได้ยินก็พยักหน้าตอบรับ นักพรตหญิงคิดใคร่ครวญสักครู่แล้วก็ได้แต่ฝืนใจเห็นด้วย
ดังนั้นเมื่อทั้งสามปรึกษากันเสร็จ กุยหรูฉวนก็หยิบแผ่นหนังสีขาวออกมาม้วนหนึ่งและเขียนจดหมายตอบกลับไปลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วเรียกศิษย์ผู้หนึ่งเข้ามารับจดหมายไปส่ง
ครู่ต่อมา เมฆสีเทากลุ่มหนึ่งก็เหาะจากเขาเก้าทารกออกจากนิกายปีศาจมุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงกำลังทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาอยู่ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังแจ่มชัดของชายผู้หนึ่งดังมา
“ศิษย์น้องไป๋อยู่ไหม ข้ารับคำสั่งจากอาจารย์ ให้มาตามเจ้าขึ้นเขา”
เสียงนี้คือเสียงของศิษย์พี่สือชวนนั่นเอง
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา