แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากป่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป เสียงฝีเท้านั่นเป็นของศิษย์ชายสวมใส่ชุดของนิกายปีศาจ ทั้งหมดล้วนมีอายุยี่สิบปีขึ้นไป พอเห็นหลิ่วหมิงสะพายข้องปลาอยู่ริมสระ ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คิ้วขมวดเข้าหากันทันที แต่แค่พยักหน้าแล้วแสดงวิชาทะยานเมฆต่อ กลุ่มเมฆใต้เท้าเขาได้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว
ในเวลานี้ศิษย์คนที่ยืนอยู่ตรงกลาง กวาดสายตามองราวไม้ไผ่ที่ปักไว้ กับเกล็ดปลาที่หลุดอยู่บนพื้นของปลาประหลาดตัวนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาขยับแขนข้างที่สวมใส่ถุงมือสีทองไว้ในมือพุ่งโจมตีผ่านอากาศมายังหลิ่วหมิง
เสียงดัง “ฟิ้ว”
กลุ่มแสงสีทองพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงทันที
หลิ่วหมิงตื่นตะลึง เขาขยับเท้าโดยไม่คิดอะไรอีกต่อไป เขารีบลงมาจากก้อนเมฆสีเทาที่ห่างจากพื้นไม่กี่จั้ง แล้วยืนลงบนพื้นอย่างมั่นคงและรวดเร็ว
และก้อนเมฆสีเทาที่เพิ่งจะรวบรวมตัวกันเสร็จนั้น หลังจากมีเสียงดังขึ้น ก็โดนกลุ่มแสงสีทองนั้นพุ่งใส่จนสลายหายไป
“ศิษย์พี่ทั้งสาม นี่หมายความว่าอย่างไร!” หลิ่วหมิงจ้องมองทั้งสามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องท่านนี้อย่าได้โมโห ข้าแค่จะถามว่า ปลาปากเหยี่ยวที่อยู่ในนี้ถูกศิษย์น้องจับไปแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผิวขาวที่ยืนอยู่ตรงกลาง อายุประมาณยี่สิบกว่าปี หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ชายหนุ่มสองคนด้านข้างอายุพอๆ กัน ต่างก็จ้องไปยังข้องปลาที่สะพายไว้ด้านหลังของหลิ่วหมิง สีหน้าของเขาฉายแววละโมบที่ปิดไม่มิดเลยแม้แต่น้อย
“ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม!” หลิ่วหมิ่งก็พินิจดูชายหนุ่มทั้งสามเหมือนกัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเมินเฉย
“ถ้าใช่ก็ดีสิ ช่างเหมาะเจาะซะจริง ข้าและศิษย์น้องทั้งสองก็รับภารกิจจับเป็นปลาปากเหยี่ยวเหมือนกัน ตอนนี้พวกข้ามาถึงที่นี่ ศิษย์น้องคงไม่ทำให้ข้าทั้งสามมาเสียเที่ยวหรอกนะ” ชายผิวขาวหาวแล้วกล่าวออกมา
“อ๋อ งั้นท่านทั้งสามคิดจะทำอย่างไร!” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วถามออกไป
ตั้งแต่เขาออกไปรับภารกิจแลกแต้มคุณูปการด้วยตัวคนเดียว นี่ก็นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่เจอสถานการณ์แบบนี้
แต่สองครั้งก่อนหน้านั้นพบเจอแค่คนเดียว และก็ถูกเขาจัดการจนจมูกเขียวช้ำใบหน้าปูดบวม และด้านหน้าเขาตอนนี้กลับปรากฏมาตั้งสามคน นี่คงจะต้องยุ่งยากสักหน่อยแล้ว
มิน่าล่ะเวลาที่ศิษย์ในนิกายไปรับภารกิจแลกแต้มคุณูปการถึงได้ไปกันเป็นกลุ่มๆ ซะมากกว่า
เขาใช้พลังจิตสำรวจดูคร่าวๆ พอจะดูออกว่าพลังเวทของชายที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างไม่ต่างจากของเขามากนัก แต่พลังเวทของชายผิวขาวที่อยู่ตรงกลางนั้นสูงกว่าเขา
และเขาผ่านการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำมาสี่เดือนกว่าๆ ด้วยความยากลำบาก และใกล้จะสำเร็จขั้นเข้าสู่ที่สองแล้ว ชายหนุ่มผิวขาวผู้นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางถึงแปดเก้าส่วน การรับมือกับเขามันคงไม่ง่ายเท่าสองคนที่อยู่ข้างๆ
ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังวิเคราะห์พลังของฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น ชายหนุ่มผิวขาวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ง่ายมาก ภารกิจนี้ได้รับแต้มคุณูปการสิบแต้ม หินจิตวิญญาณสามสิบก้อน ถ้าศิษย์น้องไม่จ่ายหินจิตวิญญาณให้พวกข้ายี่สิบก้อน ก็เอาปลาปากเหยี่ยวให้พวกข้า ข้าจ่ายหินจิตวิญญาณให้ยี่สิบก้อนดีไหม?”
“หินจิตวิญญาณยี่สิบก้อน? ดูเหมือนท่านทั้งสามคิดที่จะแย่งมันไป พวกท่านไม่กลัวกฎของนิกายหรืออย่างไร!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ถ้าศิษย์น้องคิดว่าพวกข้าจะแย่งชิง อย่างนั้นก็แย่งชิงเถอะ สำหรับกฎของนิกายนั้น ฮ่าๆ ศิษย์น้องยิ่งไม่ต้องกังวล นิกายของเราแสดงออกว่าห้ามศิษย์ต่อสู้กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับส่งเสริมให้ศิษย์แต่ละสาขาปฏิบัติตามกฎผู้แข็งแรงกว่าย่อมอยู่เหนือผู้อ่อนแอ ขอแค่ไม่ลงมือกันต่อหน้าอาจารย์จิตวิญญาณ และศิษย์ที่ดูแลกฎ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฮ่าๆ ดูเหมือนศิษย์น้องเพิ่งจะเข้านิกายมาไม่นาน ถึงได้ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนิกายอย่างลึกซึ้ง แต่หลังจากผ่านเรื่องวันนี้ไปก็จะได้รับคำสอนที่ลึกซึ้งแล้ว” ศิษย์ผู้ที่มีศีรษะค่อนข้างใหญ่หัวเราะขึ้นมาทันที และใช้น้ำเสียงที่ประชดประชันกล่าวออกมา
“เอาล่ะ อย่าพูดจาไร้สาระเลย ในเมื่อศิษย์น้องผู้นี้ไม่ยอมมอบปลาปากเหยี่ยวให้ งั้นก็รีบลงมือเถอะ ถ้าช้าไปล่ะก็ เกิดมีคนอื่นเข้ามาก็จะยุ่งยากกว่านี้” ชายผิวขาวกล่าว
เสียงเพิ่งสิ้นสุด เขาก็ยกหมัดทั้งสองขึ้นมาชกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีทองสองกลุ่มพุ่งตรงไปยังหลิ่วหมิง
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มร่ายคาถา พอเขายกมือขึ้นก็มีเส้นใยสีขาวพุ่งออกมาจากมือของพวกเขา
“วิชาใยแมงมุม”
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง เขารู้ความเป็นมาของเส้นใยสีขาวทันที
วิชาที่ใช้ในการจับคู่ต่อสู้นี้ พูดได้ว่าเป็นวิชาหนึ่งที่ศิษย์ในนิกายใช้บ่อยในระหว่างการต่อสู้
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หนึ่งครั้ง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่ข้อมือประกายแสงขึ้นมาในทันที เท้าเล็กๆ ทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นมาทันที เส้นเลือดใต้ผิวหนังก็บวมปูดขึ้นขึ้นมา ร่างทั้งร่างก็กลายเป็นเงาสีเขียวพุ่งออกไป
เสียง “ฟิ้ว” “ฟิ้ว” ดังขึ้น กลุ่มเส้นใยทั้งสองกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่หลายฉื่อตกยังไปที่ที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ แสงสีทองก็ทะลุข้ามายังพื้นที่ว่างเปล่า
หน้าของชายผิวขาวค่อยๆ เปลี่ยนสีในทันที
และในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังกึกก้อง “เพล้ง”
ชายผู้หนึ่งที่ใช้วิชาใยแมงมุมคุกเข่าลงไปที่พื้นด้วยสีหน้าที่แดงฉาน
หลิ่วหมิงดึงหมัดที่มีไอสีดำล้อมรอบออกจากท้องของเขา และใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ต้นคอจนทำให้คนผู้นั้นนอนสลบอยู่บนพื้น
เขาใช้วิชาตัวเบาบวกกับเทคนิคการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้ามาอยู่ด้านหน้าของฝ่ายตรงข้าม แล้วต่อยหนักๆ ไปสองที
“ศิษย์น้องหลี่ว์…เจ้าสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
พอชายหัวโตเห็นเพื่อนถูกหลิ่วหมิงจัดการไปภายในพริบตาเดียว ก็กล่าวออกมาด้วยความโมโหสุดขีด เขาดึงเหล็กยาวหนึ่งฉื่อสีดำขลับออกมาจากเอว และโจมตีผ่านอากาศไปทางหลิ่วหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา