แต่พอสายตาเขามองไปยังตลับไม้ที่อยู่บนโต๊ะนั้น กลับทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ในตลับไม้นั้น ยังมีเศษเนื้อหนูสีแดงสดสิบกว่าชิ้นวางอยู่ สีมันไม่เปลี่ยนจากตอนจากไปแม้แต่น้อย มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้เลือดเนื้อของปีศาจอสูรจะเก็บได้นานกว่าเนื้อโดยทั่วไป เพราะมีพลังเวทย์ในตัว แต่ภายในเวลาครึ่งปียังสามารถรักษาความสดได้ขนาดนี้ล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าขันมากกว่า
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนสีหลายครั้ง สายตามองไปยังถังไม้ที่มีน้ำอยู่สักครู่ จากนั้นยกแขนขึ้นลูบไปที่หลัง ยังคงสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ยังเปียกอยู่ หยาดเหงื่อที่หลังยังไม่ได้แห้งเหือดไป
สีหน้าของเขายิ่งดูผิดปกติขึ้นมามากกว่าเดิม แต่ครู่เดียวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบหยิบของสองสิ่งออกจากอกในทันที
ชิ้นหนึ่งเป็นตลับไม้ดูธรรมดา อีกชิ้นเป็นนาฬิกาทรายทองเหลือง
ตลับไม้สีเขียวดูธรรมดาๆ นาฬิกาทรายก็อยู่เงียบๆ บนมือ เม็ดทรายละเอียดรวมตัวกันอยู่ฝั่งหนึ่ง
“ที่แท้เป็นแบบนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงกลับสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งครั้ง สีหน้าเปลี่ยนมาดูดีขึ้นมาทันที
ตลับไม้กับนาฬิกาทรายต่างก็ใช้เป็นเครื่องมือในการนับเวลา
และเขาก็จดจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่จะออกจากห้องว่างเปล่านั้น บนตลับไม้นี้มีร่องรอยที่เขาขีดอยู่เต็มแน่นไปหมด
เจ้านาฬิกาทรายทองเหลืองนั้นเพื่อที่จะสะดวกในการจับเวลาจึงได้วางไว้ตรงพื้นห้องว่างนั้น ตอนที่จากมาไม่ทันที่ได้หยิบติดตัวมาด้วย
เหตุการณ์ที่เคยผ่านขึ้นในห้องว่างเปล่านั้นล้วนเป็นแค่ภาพมายาฉากหนึ่งเท่านั้น ตัวเขาเองไม่เคยได้เข้าไปห้องว่างเปล่าอะไรนั่นเลย
ดูเหมือนว่าเวลาที่ถูกขังยาวนานครึ่งปี เป็นเพียงแค่ความฝันของตนเองเท่านั้น
แต่ชีวิตที่ถูกขังครึ่งปีก่อนหน้านี้เหมือนจริงมาก เขาจำได้แม้กระทั่งวิชาที่ฝึกในแต่วันได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงสงบจิต แล้วกัดฟันพาความรู้จมเข้าไปในร่างกาย ใช้พลังจิตตรวจสอบดูสถานการณ์ในทะเลจิตวิญญาณ
ผลคือเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ทะเลจิตวิญญาณว่างเปล่า เจ้าฟองอากาศหายไปแล้ว
ถ้าแค่ฝันตื่นเดียว สามารถนำเจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้ออกไปได้ ก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
หลิ่วหมิงคิดอยู่เช่นนี้ แต่เพื่อที่ความแน่ใจ เขากระตุ้นเคล็ดวิชาทักษะกระดูกดำ และลองกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณ
สีหน้าของเขาเปลี่ยนในทันที และยังเผลอหลุดปากพูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้ พลังเวทย์ที่หายไป ทำไมถึงฟื้นฟูกลับมาแล้ว”
เขากระตุ้นทะเลจิตวิญญาณแล้วค้นพบว่าพลังเวทย์ไม่รู้เพิ่มขึ้นมามากมายตั้งแต่เมื่อไหร่ พลังเวทย์ครึ่งหนึ่งที่เจ้าฟองอากาศนั้นกลืนกินได้ฟื้นกลับมา
ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือ พลังเวทย์ที่เพิ่มมาใหม่นี้ถึงแม้ไม่มากเท่าก่อนที่เจ้าฟองอากาศกลืนกิน แต่ทำให้เขารู้สึกถึงความบริสุทธิ์ที่มีมากกว่าแต่ก่อนนั้นมาก
หลิ่วหมิวรู้สึกตกใจระคนดีใจ เขารีบไปตรวจดูที่ทะเลจิตวิญญาณของตนเองอย่างรวดเร็ว
ทะเลจิตวิญญาณยังคงมีขนาดเท่าเดิม แต่แสงสีเงินที่ส่องออกมามีอบอุ่นกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย
ตามที่บันทึกในคัมภีร์โบราณ นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังที่พลังเวทย์ถูกทำให้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน
แต่ว่าทำพลังเวทให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่เสียเวลาไม่ใช่น้อย
โดยทั่วไปจะมีแค่ศิษย์และอาจารย์จิตวิญญาณที่ติดอยู่กับคอขวดหลายปี หรือบรรลุขั้นไม่สำเร็จ ถึงจะยอมเสี่ยงอันตรายทำแบบนี้
และผู้ฝึกฝนที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์มากเกินไปล่ะก็ สามารถสะสมพลังเวทย์ไว้ในร่างกายได้มากกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน ทั้งยังมีอานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นทวีเมื่อใช้มันในการแสดงวิชาต่างๆ หรือกระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์ และอาวุธจิตวิญญาณ
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดีที่หาได้ยากมาก
พลังเวทย์บริสุทธิ์นี้ย่อมเป็นฝีมือของเจ้าฟองอากาศที่หายไป
หลิ่วหมิงเก็บอาการดีใจที่แสดงออกบนสีหน้า แล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
การคิดไตร่ตรองครั้งนี้ เขาใช้เวลาไปทั้งหมดครึ่งชั่วยาม จึงจะถอนหายใจยาวๆ เรียกสติกลับมา
แท้จริงแล้วเจ้าฟองอากาศนี้มันมาจากไหน ทำไมถึงดูดกลืนพลังเวทของเขาไปได้ ทั้งยังทำให้เขาต้องเข้าฝัน และยังคืนพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ให้ครึ่งหนึ่งเรื่องนี้ช่างสลับซับซ้อนไปหน่อย!
ถึงแม้สมองเขาจะคิดจนแล้วจนรอด ก็ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าสิ่งนั้นมันก็ไม่อยู่แล้ว และการสูญเสียพลังเวทครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับพลังเวทที่บริสุทธิ์ เขาก็ไม่ได้เสียเปรียบอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงได้แต่สะบัดศีรษะแล้วคิดออกมาแบบนี้
ตอนนี้เขาหันหน้าไปมองหน้าต่างบานเดียวในห้องที่เปิดอยู่สักครู่
พระอาทิตย์ขึ้นอยู่ตรงกลางท้องฟ้า และกำลังส่องแสงอันร้อนระอุลงมา
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง
ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่เขาถูกดึงเข้าไปยังห้องว่างเปล่านั้น พระอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะอยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนกัน
ดูเหมือนว่าความฝันของเขา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจ พอลุกขึ้นยืนก็ผลักประตูเปิดออกไปข้างนอก
เขายืนกลางลานเล็กๆ เข้าอ้าแขนรับแสงแดด สัมผัสถึงพลังอันอบอุ่นที่กระจายไปทั่วเรือนร่าง จิตใจค่อยๆ สงบขึ้นมา
ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในห้องลึกลับว่างเปล่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่ทดสอบจิตใจของคนได้จริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา