ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 42

แต่พอสายตาเขามองไปยังตลับไม้ที่อยู่บนโต๊ะนั้น กลับทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา

ในตลับไม้นั้น ยังมีเศษเนื้อหนูสีแดงสดสิบกว่าชิ้นวางอยู่ สีมันไม่เปลี่ยนจากตอนจากไปแม้แต่น้อย มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ถึงแม้เลือดเนื้อของปีศาจอสูรจะเก็บได้นานกว่าเนื้อโดยทั่วไป เพราะมีพลังเวทย์ในตัว แต่ภายในเวลาครึ่งปียังสามารถรักษาความสดได้ขนาดนี้ล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าขันมากกว่า

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนสีหลายครั้ง สายตามองไปยังถังไม้ที่มีน้ำอยู่สักครู่ จากนั้นยกแขนขึ้นลูบไปที่หลัง ยังคงสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ยังเปียกอยู่ หยาดเหงื่อที่หลังยังไม่ได้แห้งเหือดไป

สีหน้าของเขายิ่งดูผิดปกติขึ้นมามากกว่าเดิม แต่ครู่เดียวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบหยิบของสองสิ่งออกจากอกในทันที

ชิ้นหนึ่งเป็นตลับไม้ดูธรรมดา อีกชิ้นเป็นนาฬิกาทรายทองเหลือง

ตลับไม้สีเขียวดูธรรมดาๆ นาฬิกาทรายก็อยู่เงียบๆ บนมือ เม็ดทรายละเอียดรวมตัวกันอยู่ฝั่งหนึ่ง

“ที่แท้เป็นแบบนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงกลับสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งครั้ง สีหน้าเปลี่ยนมาดูดีขึ้นมาทันที

ตลับไม้กับนาฬิกาทรายต่างก็ใช้เป็นเครื่องมือในการนับเวลา

และเขาก็จดจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่จะออกจากห้องว่างเปล่านั้น บนตลับไม้นี้มีร่องรอยที่เขาขีดอยู่เต็มแน่นไปหมด

เจ้านาฬิกาทรายทองเหลืองนั้นเพื่อที่จะสะดวกในการจับเวลาจึงได้วางไว้ตรงพื้นห้องว่างนั้น ตอนที่จากมาไม่ทันที่ได้หยิบติดตัวมาด้วย

เหตุการณ์ที่เคยผ่านขึ้นในห้องว่างเปล่านั้นล้วนเป็นแค่ภาพมายาฉากหนึ่งเท่านั้น ตัวเขาเองไม่เคยได้เข้าไปห้องว่างเปล่าอะไรนั่นเลย

ดูเหมือนว่าเวลาที่ถูกขังยาวนานครึ่งปี เป็นเพียงแค่ความฝันของตนเองเท่านั้น

แต่ชีวิตที่ถูกขังครึ่งปีก่อนหน้านี้เหมือนจริงมาก เขาจำได้แม้กระทั่งวิชาที่ฝึกในแต่วันได้อย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงสงบจิต แล้วกัดฟันพาความรู้จมเข้าไปในร่างกาย ใช้พลังจิตตรวจสอบดูสถานการณ์ในทะเลจิตวิญญาณ

ผลคือเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา

ทะเลจิตวิญญาณว่างเปล่า เจ้าฟองอากาศหายไปแล้ว

ถ้าแค่ฝันตื่นเดียว สามารถนำเจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้ออกไปได้ ก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว

หลิ่วหมิงคิดอยู่เช่นนี้ แต่เพื่อที่ความแน่ใจ เขากระตุ้นเคล็ดวิชาทักษะกระดูกดำ และลองกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณ

สีหน้าของเขาเปลี่ยนในทันที และยังเผลอหลุดปากพูดออกมา

“เป็นไปไม่ได้ พลังเวทย์ที่หายไป ทำไมถึงฟื้นฟูกลับมาแล้ว”

เขากระตุ้นทะเลจิตวิญญาณแล้วค้นพบว่าพลังเวทย์ไม่รู้เพิ่มขึ้นมามากมายตั้งแต่เมื่อไหร่ พลังเวทย์ครึ่งหนึ่งที่เจ้าฟองอากาศนั้นกลืนกินได้ฟื้นกลับมา

ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือ พลังเวทย์ที่เพิ่มมาใหม่นี้ถึงแม้ไม่มากเท่าก่อนที่เจ้าฟองอากาศกลืนกิน แต่ทำให้เขารู้สึกถึงความบริสุทธิ์ที่มีมากกว่าแต่ก่อนนั้นมาก

หลิ่วหมิวรู้สึกตกใจระคนดีใจ เขารีบไปตรวจดูที่ทะเลจิตวิญญาณของตนเองอย่างรวดเร็ว

ทะเลจิตวิญญาณยังคงมีขนาดเท่าเดิม แต่แสงสีเงินที่ส่องออกมามีอบอุ่นกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย

ตามที่บันทึกในคัมภีร์โบราณ นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังที่พลังเวทย์ถูกทำให้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน

แต่ว่าทำพลังเวทให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่เสียเวลาไม่ใช่น้อย

โดยทั่วไปจะมีแค่ศิษย์และอาจารย์จิตวิญญาณที่ติดอยู่กับคอขวดหลายปี หรือบรรลุขั้นไม่สำเร็จ ถึงจะยอมเสี่ยงอันตรายทำแบบนี้

และผู้ฝึกฝนที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์มากเกินไปล่ะก็ สามารถสะสมพลังเวทย์ไว้ในร่างกายได้มากกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน ทั้งยังมีอานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นทวีเมื่อใช้มันในการแสดงวิชาต่างๆ หรือกระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์ และอาวุธจิตวิญญาณ

สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดีที่หาได้ยากมาก

พลังเวทย์บริสุทธิ์นี้ย่อมเป็นฝีมือของเจ้าฟองอากาศที่หายไป

หลิ่วหมิงเก็บอาการดีใจที่แสดงออกบนสีหน้า แล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้

การคิดไตร่ตรองครั้งนี้ เขาใช้เวลาไปทั้งหมดครึ่งชั่วยาม จึงจะถอนหายใจยาวๆ เรียกสติกลับมา

แท้จริงแล้วเจ้าฟองอากาศนี้มันมาจากไหน ทำไมถึงดูดกลืนพลังเวทของเขาไปได้ ทั้งยังทำให้เขาต้องเข้าฝัน และยังคืนพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ให้ครึ่งหนึ่งเรื่องนี้ช่างสลับซับซ้อนไปหน่อย!

ถึงแม้สมองเขาจะคิดจนแล้วจนรอด ก็ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าสิ่งนั้นมันก็ไม่อยู่แล้ว และการสูญเสียพลังเวทครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับพลังเวทที่บริสุทธิ์ เขาก็ไม่ได้เสียเปรียบอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงได้แต่สะบัดศีรษะแล้วคิดออกมาแบบนี้

ตอนนี้เขาหันหน้าไปมองหน้าต่างบานเดียวในห้องที่เปิดอยู่สักครู่

พระอาทิตย์ขึ้นอยู่ตรงกลางท้องฟ้า และกำลังส่องแสงอันร้อนระอุลงมา

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง

ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่เขาถูกดึงเข้าไปยังห้องว่างเปล่านั้น พระอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะอยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนกัน

ดูเหมือนว่าความฝันของเขา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจ พอลุกขึ้นยืนก็ผลักประตูเปิดออกไปข้างนอก

เขายืนกลางลานเล็กๆ เข้าอ้าแขนรับแสงแดด สัมผัสถึงพลังอันอบอุ่นที่กระจายไปทั่วเรือนร่าง จิตใจค่อยๆ สงบขึ้นมา

ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในห้องลึกลับว่างเปล่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่ทดสอบจิตใจของคนได้จริงๆ

ถึงแม้ตอนนี้นึกถึงมันก็ยังมีความรู้สึกหวาดผวาอยู่

ยังดีที่ใช้เวลาแค่ครึ่งปีก็ออกมาจากในนั้นได้ ถ้าหากว่ายาวนั้นกว่านั้น ต่อให้จะเป็นแค่ความฝัน ก็อาจจะทำเกิดผลกระทบต่อจิตใจของคนได้

พอหลิ่วหมิงคิดถึงจิตใจของตนเอง เขาก็รีบลืมตาขึ้นด้วยใจที่เต้นแรง

เขาเพิ่งจะค้นพบว่าพลังจิตของตนเองแข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าไปในฝันนั้นเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ค่อยชัดเจน แต่ว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

หลิ่วหมิงฝืนยิ้มออกมา

นี่ก็สามารถเรียกได้เขาได้รับผลดีจากความทุกข์น่ะสิ

เขาคิดอยู่แบบนี้ กวาดสายตาไปยังบนต้นไม้ใหญ่สีเขียวข้างลานที่พักนั้น

ด้านข้างของต้นไม้นั้น เดิมทีมีต้นไม้เล็กอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งมันยืนตั้งต้นเปลือยเปล่าอยู่ที่นั่น

หลิ่วหมิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะในใจ เขายกแขนขึ้นและร่ายคาถาออกมา

เสียง “ฟู่” “ฟู่” ดังขึ้นสองครั้ง พริบตาเดียวลูกไฟสีแดงขนาดเท่าลูกกำปั้นสองลูกก็ปรากฏขึ้นมาบนมือเขา หลังจากที่มันกระพริบก็กลายเป็นแสงสีแดงสองลูกโจมตีไปยังบนต้นไม้ใหญ่สีเขียว

เสียง “ตู้ม” “ตู้ม” ดังสะเทือนขึ้นสองครั้ง

ต้นไม้ใหญ่มีเปลวไฟมันคุโชนล้อมรอบ ครู่เดียวก็กลายเป็นขี้เถ้าสีดำ

เดิมหลิ่วหมิงมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ครู่เดียวก็ชะงักค้าง!!!

นี่คือวิชาลูกไฟอัคคีที่เขาฝึกสำเร็จขั้นต้น ในตอนที่อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่นี้ไม่ใช่เป็นแค่ความฝันหรอกหรือ ทำไมตอนนี้ยังสามารถแสดงมันออกมาได้อย่างชำนาญเช่นนี้

หลิ่วหมิงเป็นตระคริวที่มุมปากสักครู่ แล้วก็ร่ายคาถาอีกบท หลังจากที่มือทั้งสองขยับแสงสีขาวอ่อนพุ่งออกมาจากมือทั้งสองทันที

พอมันเปล่งประกายออกไป!

ก้อนหินยักษ์ใต้ต้นไม้ใหญ่ก้อนหนึ่ง มีรอยเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสองรูปรากฏขึ้น

นี่ก็เป็นวิชาศรวารีที่เขาฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นเหมือนกัน

หลิ่วหมิงเลียลิมฝีปากที่แห้ง แววตาก็มีประกายร้อนแรง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มต้นร่ายคาถาต่อ มือทั้งสองยกขึ้นอีกครั้ง

เสียง “ฉับ” “ฉับ” ดังขึ้น คมวายุหกเส้นใช้เวลาอันสั้นพุ่งออกไป พริบตาเดียวก็ฟันหินก้อนนั้นแตกเป็นเจ็ดชิ้น

นี่คือวิชาคมวายุที่เขาฝึกฝนมันมากที่สุด

“มันเป็นแบบนี้จริงๆ วิชาที่ฝึกฝนในห้องว่างเปล่าลึกลับนั้นให้ผลเหมือนกับตอนนี้เลย” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำ แล้วก็แสดงความดีใจอย่างถึงขีดสุด

เขาแสดงวิชาต่างๆ อยู่ในลานที่พักต่อ จนพลังเวทย์สุดท้ายในร่างกายหมดไป ถึงหยุดมือลง และเอนตัวลงไปยังบนพื้นหญ้า ปิดตาทั้งคู่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรบางอย่างอยู่

“น่าเสียดายจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกว่าห้องว่างเปล่าลึกลับนั้นมีประโยชน์อันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ก็ควรจะอยู่นานกว่านี้สักหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงถอนใจออกมายาวๆ ลืมตาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา

ถึงนี้เขาถึงแม้จะเลอะเลือน แต่ก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าประสบการณ์ในห้องว่างเปล่าลึกลับนั้นล้วนไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้จะเสียดายเจ้าฟองอากาศนั้นก็ไม่อยู่แล้ว

เขาเองก็ไม่อาจกลับไปที่นั่นได้อีก เรื่องของห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น ถือเป็นสิ่งที่โชคชะตานำพาตัวเองได้มาพบเจอ

หลายวันต่อมา เมื่อเขานำเนื้อหนูชิ้นสุดท้ายมากินแล้วก็ฝึกฝนอยู่ในที่พักต่อไปได้ครึ่งเดือนกว่าๆ

วันนี้หลิ่วหมิวเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ก็จากสถานที่พักตรงไปยังหอดำเนินการ

สี่เดือนผ่านไป ห่างจากประตูนิกายปีศาจหลายร้อยลี้ มีสระน้ำแห่งหนึ่งที่แผ่ไอเย็นแปลกประหลาดออกมา ข้างบึงมีราวไม้ไผ่ที่ปลายด้านหนึ่งปักลาดเอียดไปยังดินที่อยู่ข้างๆ ลึกจั้งกว่าๆ อีกด้านหนึ่งมีเชือกสีขาวขนาดใหญ่แขวนอยู่

ปลายด้านล่างของเชือกมีกระต่ายอ้วนท้วนสีเทาห้อยอยู่

เจ้ากระต่ายตัวนี้มันถีบขาของมันเป็นครั้งคราว โดยที่ยังมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ซึ่งไม่รู้ว่ามันถูกแขวนอยู่บนราวไม้ไผ่นี้มานานเท่าไหร่แล้ว

เสียงดัง “จ๋อม” ปลาประหลาดมีปากเป็นเหยี่ยวตัวเป็นงูตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากสระ มันอ้าปากงับกระต่ายร่างอ้วนท้วนแล้วหนีไปทันที

เสียงดัง “ฟิ้ว” โซ่ตรวนเส้นหนึ่งดีดออกมาจากพุ่มไม้เตี้ยแถวนั้นราวกับสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ไปพันอยู่บนตัวปลาประหลาดสีขาว และลากมันเข้ามายังหน้าพุ่มไม้

ปลาประหลาดตัวนี้ส่งเสียงร้องประหลาด “กุๆ” ด้วยความตกใจ ในขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นสายน้ำสีขาวออกมาจากปาก ทำให้พื้นที่แถวนั้นดูเละเทะไปหมด

ผ่านไปสักครู่ ปลาประหลาดก็หงอยเหงาเศร้าซึม ในที่มุดก็หยุดพ่นสายน้ำออกมา ได้แต่หายใจแขม่วๆ อยู่ที่พื้น

“เจ้าปลาปากเหยี่ยวนี้ช่างเล่ห์เหลี่ยมเยอะจริงๆ ใช้เวลาสองวันสองคืนถึงมาติดเบ็ดได้”

เสียงหัวเราะดังออกมาจากพุ่มไม้เตี้ยด้านข้าง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา สวมใส่ชุดสีเขียว เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม

เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

เขาก้าวไปด้านหน้าของปลาประหลาดสองสามก้าว ใช้เท้าเตะมันแล้วถึงจะหยิบข้องใส่ปลาที่อยู่ด้านหลังมาอันหนึ่ง แล้วนำเจ้าปลาประหลาดตัวนี้ใส่เข้าไปในนั้น

ตอนที่หลิ่วหมิงหมุนตัวเพื่อจะจากไปนั้น สายตาพลันกวาดมองไปยังกระต่ายสีเทาที่ห้อยอยู่นั้น แล้วกว่ากับตัวเองเบาๆ

“ครั้งนี้นับว่าเจ้าช่วยข้าไว้เยอะ ข้าจะละเว้นชีวิตเจ้าก็แล้วกัน”

เสียงเพิ่งสิ้นสุด เขาก็ยกมือขึ้น คมวายุสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปตัดเชือกนั้นขาดเป็นสองส่วนภายในพริบตาเดียว

หลังจากที่เจ้ากระต่ายสีเทามันเป็นอิสระแล้ว มันก็รีบถีบขาทันที มันหมุนกลิ้งไปยังริมแม่น้ำ จากนั้นก็วิ่งหนีเข้าไปในพุ่มหน้าแถวนั้นด้วยความคล่องแคล่วที่ต่างกับลำตัวของมัน

หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็อมยิ้ม เขาทำท่ามือทันที แล้วสะพายข้องใส่ปลาเตรียมที่จะทะยานขึ้นฟ้า

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา