ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 41

เหตุที่เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นนั้น ตัวการสำคัญคือสิ่งที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ในทะเลจิตวิญญาณตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมีรูปร่างกลมๆ โปร่งแสง ดูคล้ายกับฟองอากาศเล็กๆ ไม่เป็นที่เตะตาแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงกล้าสาบานได้เลยว่า ทะเลจิตวิญญาณของเขาไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อน

และก็เป็นเจ้าสิ่งนี้ที่เมื่อครู่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของเขาอยู่ไม่หยุด และยังกลืนกินพลังเวทย์ทั้งหมดที่เขาเพิ่งจะรวบรวมขึ้นมาได้ ก่อนที่มันจะเงียบสงบลง

“หรือว่าเจ้าสิ่งนี้คือไอเย็นๆ ที่เจาะเท้าในตอนนั้น มิเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดแล้ว”

หลิ่วหมิงระงับความตื่นตระหนกไว้ แล้วคิดอย่างรวดเร็ว จนหาข้ออธิบายที่สมเหตุสมผลออกมาได้

แต่เจ้าสิ่งนี้ดูๆ แล้วไม่เหมือนกับสิ่วชั่วร้ายที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นเขาจะยิ่งตื่นตระหนกตกใจมากกว่านี้

หลิวหมิงไม่ทันแม้แต่จะเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ก็รีบเล็งพลังจิตไปยังจุดตันเถียน แล้วตรวจสอบดูฟองอากาศนั้นอย่างละเอียด

เจ้าฟองอากาศนี้ดูใสเกลี้ยงเกลา ข้างในใสแจ๋วเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่าไม่น่าจะกลืนกินพลังเวทย์ไปได้มากขนาดนี้

เวลาผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงยังคงตรวจสอบดูว่ามีอะไรแปลกปลอมหรือไม่

และเจ้าสิ่งนี้ก็ยังคงอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ดูเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้ว

หลิ่วหมิงอดสงสัยไม่ได้ แต่พอความคิดของเขาเริ่มแล่น ก็กัดฟันอีกครั้ง และควบคุมพลังจิตให้ไปแตะที่ฟองอากาศนั้นเบาๆ เพื่อที่จะดูว่าจะสามารถเข้าไปตรวจสอบดูข้างในได้ไหม

เสียงดัง “เพล้ง”

พริบตาที่พลังจิตแตะโดนฟองอากาศนั้น มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาราวกับกระจก

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ก็มีเสียง “หวึ่ง” ดังราวกับฟ้าร้องดังก้องไปทั่วหูทั้งสองข้างของเขา ศีรษะเขาเริ่มหนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดดำ แล้วร่างทั้งร่างของเขาก็มาอยู่ในท่ามกลางที่ว่างเปล่าอันมืดครึ้ม ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

“ที่นี่คือ…”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หน้าถอดสี ตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบด้าน เห็นแค่รอบด้านนี้ล้วนเป็นผนังหมอกอันมืดครึ้ม พื้นที่ว่างเปล่าที่สามารถมองเห็นได้ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าจั้ง

เขาแหงนหน้า ก้มหน้ามองดูสักครู่ ด้านบนกับด้านล่างก็เป็นหมอกมืดครึ้ม แต่ห่างกันแค่ประมาณสิบห้าหรือสิบหกจั้งเท่านั้น

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นตุบๆ ผ่านไปสักครู่ถึงระงับใจตนเองไว้ได้ แล้วเริ่มต้นพินิจดูถึงขั้นตอนในการมาที่นี่ของเขา

ไม่ต้องถามเลยแม้แต่น้อย ที่ตนเองมาถึงที่นี้ได้ก็เพราะไปแตะโดนฟองอากาศที่อยู่ตรงทะเลจิตวิญญาณนั้น

แต่เจ้าฟองอากาศนั้นมันคืออะไร ทำไมหลังจากที่มันแตกละเอียดแล้ว ก็พาเขามายังที่ว่างเปล่าแปลกประหลาดนี้โดยที่เขาไม่มีลางสังหรณ์มาก่อน นี่เป็นมันเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

และพื้นที่ว่างเปล่านี้บรรยากาศดูอึมครึม ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสถานที่ที่มีศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ อยู่ แต่กลับดูเหมือนห้องขังนักโทษ

หลิ่วหมิงยืนพินิจอยู่ที่เดิมด้วยอารมณ์ทางสีหน้าที่หลากหลาย หลังจากพินิจดูสักครู่ก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ที่เชื่อถือได้ จนสุดท้ายเขาก็ตะโกนออกไป ก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใดปรากฏออกมา

หลังจากที่เขาตัดสินใจแล้ว ก็ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นฝ่ามือออกมาลูบไปบนพื้นที่เท้าเหยียบอยู่อย่างระมัดระวัง

ฝ่ามือจมลึกลงไปในหมอกนิ้วกว่าๆ ก็ถูกชั้นที่เป็นฉากไร้รูปแข็งแกร่งและมั่นคง ประดุจว่าเป็นพื้นจริงๆ ปิดกั้นไว้

หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย หลังลุกขึ้นยืนแล้วก็ร่ายคาถา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วอ้าปากพ่นไปยังด้านล่าง

พายุอันบ้าระห่ำม้วนตัวพัดออกมาจากปากของเขา กระหน่ำลงไปยังพื้นผนังไอหมอกด้านล่าง

ฉากที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น

พายุพัดรุนแรงที่โหมกระหน่ำไปนั้นเมื่อสัมผัสกับไอหมอกก็จมหายไร้ร่องรอยไปในพริบตาเดียว

ใบหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ ถอดสี มือข้างหนึ่งทำท่ามือร่ายคาถาบทที่ต่างไปจากเดิม

เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้นสองครั้ง คมวายุสีเขียวแหลมคมสองเส้น ก็พุ่งออกจากมือทั้งสองของเขา แต่พอมันฟันเข้าไปยังพื้นหมอกด้านล่าง ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน

หลิ่วหมิงเริ่มหน้าเขียว แต่ยังไม่ยอมแพ้เปลี่ยนไปใช้วิชาอื่นๆ ที่เคยเรียนมาโจมตีไปยังด้านล่าง

แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

หมอกสีเทาที่ดูธรรมดาๆ นี้ กลับสามารถดูดกลืนพลังการโจมตีทั้งหมดไปได้

หลิ่วหมิงยุติการโจมตี แต่อยู่ที่เดิมนิ่งๆ สักครู่ แล้วยกมือข้างหนึ่งเพื่อทำท่ามืออีกครั้ง ใต้เท้าเขาก็กลุ่มเมฆสีเทามารวมตัวกัน และค่อยๆ ยกร่างของเขาลอยขึ้นไป แต่พอขึ้นสูงจากพื้นได้ไม่กี่จั้ง ก็หยุดชะงักขึ้นมาทันที

เขายื่นแขนทั้งสองเข้าไปในไอหมอก แล้วค่อยๆ ตรวจสอบผนังหมอกนั้น

หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วขี่เมฆลอยลงมาโดยไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลย

จากนั้นหลิ่วหมิงก็ก้าวยาวๆ ไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ลังเล เขาสะบัดข้อมือทำให้ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือของเขาประกายแสงออกมา และอ้านิ้วทั้งห้าออกจากกันวางลงไปตรงผนังหมอก

“พยัคฆ์คำราม”

หลังจากที่ไอสีดำออกจากร่างของหลิ่วหมิง แล้ว เขาก็ตะโกนเสียงดังออกมา

ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนมือพุ่งแสงสีเหลืองออกมารอบๆ หลังจากภาพหัวพยัคฆ์อันเลอะเลือนได้ปรากฏขึ้น พลังคลื่นสีขาวโพลนก็พุ่งโจมตีไปยังผนังหมอก

เสียงดัง “ฟู่”

คลื่นสีขาวนอกจากจะทำให้ไอหมอกที่อยู่ด้านบนสั่นไหวแค่เล็กน้อยแล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

พอหลิ่วหมิงเห็นว่าวิธีการโจมตีที่แข็งแร่งที่สุดของตนเองนั้นไม่ได้ผล ก็ดูหน้าเสียกว่าปกติมาก

สภาพในตอนนี้ หรือเขาจะต้องโดนขังเป็นอยู่ที่นี่ซะแล้ว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ โอสถทิพย์บนตัวเขาก็มีอยู่ไม่มาก เดิมทีครึ่งเดือนหลังเขาต้องไปรับมัน

สำหรับปัญหาเรื่องน้ำนั้นแก้ได้ง่ายหน่อย แค่ใช้วิชาปั้นน้ำก็สามารถรวบรวมมาได้

เวลาสามวันต่อมา หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมโดยบีบให้ตายอย่างนี้ ดูเหมือนเขาจะตรวจสอบพื้นที่ว่างเปล่าทั่วทุกที่แล้ว และใช้วิธีการทั้งหมดที่ตนเองสามารถทำให้ได้ แต่ก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับผนังหมอกรอบด้านเลยแม้แต่น้อย

ครั้งนี้เขาได้แต่ยอมรับชะตากรรมของตนเองแล้ว เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องรอคอยด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

แต่ว่าการที่คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องว่างเปล่าแคบๆ ถึงแม้จะรู้ว่าความตายค่อยๆ มาเยือน อย่างมากก็เป็นเรื่องที่ทดสอบจิตใจของคน

หลิ่วหมิงนั่งแบบนี้ไปครึ่งวัน เขาได้แต่ฝืนยิ้มแล้วเริ่มฝึกฝนขึ้นมา

แต่ฉากที่ทำให้เขาตกใจก็บังเกิดขึ้น

ไม่ว่าเขาจะการกำหนดลมหายใจเพื่อรวบรวมพลังฟ้าดินจากภายนอกเข้าไปภายในร่างกายอย่างไร พลังเวทย์ตรงทะเลจิตวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย

สำหรับเจ้าฟองอากาศที่เดิมทีเคยอยู่ตรงทะเลจิตวิญญาณก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวในฉับพลัน และรู้สึกกลัดกลุ้มมากขึ้น

ในเมื่อไม่สามารถเพิ่มพลังเวทได้ ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดแล้ว

เขาไม่มีทางเลี่ยง ได้แต่ค่อยๆ เริ่มฝึกวิชากระสุนไฟ ศรวารี และวิชาอื่นๆ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดวัน

ในนี้ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ที่เขาสามารถคาดเดาเวลาได้แม่นยำ ต้องชมนาฬิกาทรายที่ทำมาจากทองเหลือง ที่เขาพกมันติดตัวมาด้วย

นาฬิกาทรายนี้ตัวเองสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อตอนที่อยู่บนเกาะมฤตยู เม็ดทรายละเอียดที่อยู่ในนั้นไหลช้าเป็นพิเศษ เวลาหนึ่งวันถึงไหลเกลี้ยงจนหมดฝั่ง

เพราะว่ามันมีความผูกพันธ์กับเขา ดังนั้นจึงพกมันไว้กับตัวตลอด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้มันจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้

แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ค้นพบเรื่องราวบางอย่าง

เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ เขากลับไม่มีความรู้สึกหิวหรือกระหายเลย

ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง แต่สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่คุ้มค่าต่อการแสงความดีใจเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เขาไม่ถึงเป็นกังวลว่าจะอดตายภายในระยะเวลาๆ สั้นนี้

สามารถตัดความกังวลไปได้ชั่วคราว หลิ่วหมิงที่ยังออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ยังคงตั้งใจฝึกฝนวิชาในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้ต่อไป

ช่วงระหว่างเวลานี้ เมื่อผ่านไปทุกหนึ่งวันเขาจะใช้มีดกรีดทำรอยบนตลับไม้ไว้หนึ่งเส้น จะได้รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่วันแล้ว

และเขาก็ไม่ต้องเสียเวลาไปทำเรื่องอย่างอื่นแล้ว ทั้งยังใช้ความสามารถหนึ่งจิตสองพลังในการฝึกฝน ภายในเวลาสามสี่เดือนต่างก็ฝึกขั้นต้นของวิชาเหล่านั้นได้สำเร็จ

เวลาต่อมาก็มุ่งมั่นฝึกฝนวิชาคมวายุ ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาที่โจมตีได้รวดเร็วที่สุดของบรรดาวิชาพื้นฐานทั้งหมด

ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ การอยู่คนเดียวภายในสภาพแวดล้อมอันน่าเบื่ออย่างนี้ เกรงว่าอาจจะทำให้เป็นเป็นบ้าขึ้นมาได้

หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ครึ่งปี เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างรีบเร่ง

วันนี้หลิ่วหมิงตื่นจากการเข้าฌาณ เขารู้สึกว่าพลังจิตที่ใช้หมดไปเมื่อหลายวันก่อนถูกฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ร่ายคาถา สองมือทำท่ามือ แล้วยกขึ้นพร้อมกัน

หลังจากเสียงดัง “ฉับ” “ฉับ” คมวายุสีเขียวหกเส้นพุ่งออกไปติดต่อกัน และก็จมหายเข้าไปในผนังหมอกเหมือนเดิม

“ภายในสิบลมหายใจ สามารถปล่อยคมวายุได้หกเส้น นี่คงจะนับว่าฝึกวิชาคมวายุได้สำเร็จแล้วสินะ” หลิ่งหมิวมองดูเหตุการณ์ แล้วกล่าวพึมพำกับตัวเอง

แต่ต่อมาสักครู่ มือทั้งสองก็ประกบกันไปยังด้านหน้า พร้อมร่ายคาถาออกมา

หลังจากที่สองมือแยกออกจากกัน เส้นคมวายุขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นสามสี่เท่าค่อยๆ ปรากฏออกมา แต่เพิ่งจะขยายขนาดได้ครึ่งเดียว ก็มีเสียงดังเพล้งขึ้นมาทันที คมวายุยักษ์สลายกลายเป็นจุดเลือนหายไป

หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน

วิธีการรวมพลังของคมวายุเข้าด้วยกันแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นได้ หลังจากที่ฝึกฝนความเร็วในการปล่อยคมวายุจนถึงระดับความเร็วที่มั่นคงแล้ว

แต่ถ้าอยากให้มันสำเร็จขึ้นมาจริง อีกด้านต้องเติมเต็มพลังเวทย์ อีกด้านหนึ่งก็ต้องฝึกปล่อยคมวายุให้ชำนาญถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้

หลิ่วหมิงคิดเรื่องเหล่านี้ไปด้วย ทำท่ามือฝึกฝนคมวายุไปด้วย

แต่ในเวลานั้นเอง ก็เสียงดัง “หวึ่ง” ที่หูทั้งสองข้างของเขา ศีรษะเริ่มหนัก ตาทั้งสองปิดลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลังจากลืมตาขึ้น ร่างทั้งร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องเล็กๆ ที่มีแสงอาทิตย์สวยงาม

เขากำลังนั่งอยู่บนเบาะอันหนึ่ง มือทั้งสองทำท่ามือ ไม่ขยับเขยื้อน

“นี่คือ…”

ครั้งนี้หลิ่วหมิงตะลึงตาค้างจริงๆ

ห้องนี้ และบรรยากาศรอบด้านล้วนดูคุ้นเคย ที่แท้มันก็คือห้องฝึกฝนที่เขาหายไปเมื่อครึ่งปีที่แล้วนั่นเอง

เขากลับมาสถานที่นี้แล้วจริงๆ?

หลิ่วหมิงรู้สึกสมองของเขาว่างเปล่า สายตากวาดมองไปรอบด้านโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา