เหตุที่เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นนั้น ตัวการสำคัญคือสิ่งที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ในทะเลจิตวิญญาณตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมีรูปร่างกลมๆ โปร่งแสง ดูคล้ายกับฟองอากาศเล็กๆ ไม่เป็นที่เตะตาแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงกล้าสาบานได้เลยว่า ทะเลจิตวิญญาณของเขาไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อน
และก็เป็นเจ้าสิ่งนี้ที่เมื่อครู่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของเขาอยู่ไม่หยุด และยังกลืนกินพลังเวทย์ทั้งหมดที่เขาเพิ่งจะรวบรวมขึ้นมาได้ ก่อนที่มันจะเงียบสงบลง
“หรือว่าเจ้าสิ่งนี้คือไอเย็นๆ ที่เจาะเท้าในตอนนั้น มิเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดแล้ว”
หลิ่วหมิงระงับความตื่นตระหนกไว้ แล้วคิดอย่างรวดเร็ว จนหาข้ออธิบายที่สมเหตุสมผลออกมาได้
แต่เจ้าสิ่งนี้ดูๆ แล้วไม่เหมือนกับสิ่วชั่วร้ายที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นเขาจะยิ่งตื่นตระหนกตกใจมากกว่านี้
หลิวหมิงไม่ทันแม้แต่จะเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ก็รีบเล็งพลังจิตไปยังจุดตันเถียน แล้วตรวจสอบดูฟองอากาศนั้นอย่างละเอียด
เจ้าฟองอากาศนี้ดูใสเกลี้ยงเกลา ข้างในใสแจ๋วเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่าไม่น่าจะกลืนกินพลังเวทย์ไปได้มากขนาดนี้
เวลาผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงยังคงตรวจสอบดูว่ามีอะไรแปลกปลอมหรือไม่
และเจ้าสิ่งนี้ก็ยังคงอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ดูเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้ว
หลิ่วหมิงอดสงสัยไม่ได้ แต่พอความคิดของเขาเริ่มแล่น ก็กัดฟันอีกครั้ง และควบคุมพลังจิตให้ไปแตะที่ฟองอากาศนั้นเบาๆ เพื่อที่จะดูว่าจะสามารถเข้าไปตรวจสอบดูข้างในได้ไหม
เสียงดัง “เพล้ง”
พริบตาที่พลังจิตแตะโดนฟองอากาศนั้น มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาราวกับกระจก
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ก็มีเสียง “หวึ่ง” ดังราวกับฟ้าร้องดังก้องไปทั่วหูทั้งสองข้างของเขา ศีรษะเขาเริ่มหนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดดำ แล้วร่างทั้งร่างของเขาก็มาอยู่ในท่ามกลางที่ว่างเปล่าอันมืดครึ้ม ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ที่นี่คือ…”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หน้าถอดสี ตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบด้าน เห็นแค่รอบด้านนี้ล้วนเป็นผนังหมอกอันมืดครึ้ม พื้นที่ว่างเปล่าที่สามารถมองเห็นได้ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าจั้ง
เขาแหงนหน้า ก้มหน้ามองดูสักครู่ ด้านบนกับด้านล่างก็เป็นหมอกมืดครึ้ม แต่ห่างกันแค่ประมาณสิบห้าหรือสิบหกจั้งเท่านั้น
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นตุบๆ ผ่านไปสักครู่ถึงระงับใจตนเองไว้ได้ แล้วเริ่มต้นพินิจดูถึงขั้นตอนในการมาที่นี่ของเขา
ไม่ต้องถามเลยแม้แต่น้อย ที่ตนเองมาถึงที่นี้ได้ก็เพราะไปแตะโดนฟองอากาศที่อยู่ตรงทะเลจิตวิญญาณนั้น
แต่เจ้าฟองอากาศนั้นมันคืออะไร ทำไมหลังจากที่มันแตกละเอียดแล้ว ก็พาเขามายังที่ว่างเปล่าแปลกประหลาดนี้โดยที่เขาไม่มีลางสังหรณ์มาก่อน นี่เป็นมันเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ
และพื้นที่ว่างเปล่านี้บรรยากาศดูอึมครึม ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสถานที่ที่มีศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ อยู่ แต่กลับดูเหมือนห้องขังนักโทษ
หลิ่วหมิงยืนพินิจอยู่ที่เดิมด้วยอารมณ์ทางสีหน้าที่หลากหลาย หลังจากพินิจดูสักครู่ก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ที่เชื่อถือได้ จนสุดท้ายเขาก็ตะโกนออกไป ก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใดปรากฏออกมา
หลังจากที่เขาตัดสินใจแล้ว ก็ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นฝ่ามือออกมาลูบไปบนพื้นที่เท้าเหยียบอยู่อย่างระมัดระวัง
ฝ่ามือจมลึกลงไปในหมอกนิ้วกว่าๆ ก็ถูกชั้นที่เป็นฉากไร้รูปแข็งแกร่งและมั่นคง ประดุจว่าเป็นพื้นจริงๆ ปิดกั้นไว้
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย หลังลุกขึ้นยืนแล้วก็ร่ายคาถา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วอ้าปากพ่นไปยังด้านล่าง
พายุอันบ้าระห่ำม้วนตัวพัดออกมาจากปากของเขา กระหน่ำลงไปยังพื้นผนังไอหมอกด้านล่าง
ฉากที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น
พายุพัดรุนแรงที่โหมกระหน่ำไปนั้นเมื่อสัมผัสกับไอหมอกก็จมหายไร้ร่องรอยไปในพริบตาเดียว
ใบหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ ถอดสี มือข้างหนึ่งทำท่ามือร่ายคาถาบทที่ต่างไปจากเดิม
เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้นสองครั้ง คมวายุสีเขียวแหลมคมสองเส้น ก็พุ่งออกจากมือทั้งสองของเขา แต่พอมันฟันเข้าไปยังพื้นหมอกด้านล่าง ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน
หลิ่วหมิงเริ่มหน้าเขียว แต่ยังไม่ยอมแพ้เปลี่ยนไปใช้วิชาอื่นๆ ที่เคยเรียนมาโจมตีไปยังด้านล่าง
แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
หมอกสีเทาที่ดูธรรมดาๆ นี้ กลับสามารถดูดกลืนพลังการโจมตีทั้งหมดไปได้
หลิ่วหมิงยุติการโจมตี แต่อยู่ที่เดิมนิ่งๆ สักครู่ แล้วยกมือข้างหนึ่งเพื่อทำท่ามืออีกครั้ง ใต้เท้าเขาก็กลุ่มเมฆสีเทามารวมตัวกัน และค่อยๆ ยกร่างของเขาลอยขึ้นไป แต่พอขึ้นสูงจากพื้นได้ไม่กี่จั้ง ก็หยุดชะงักขึ้นมาทันที
เขายื่นแขนทั้งสองเข้าไปในไอหมอก แล้วค่อยๆ ตรวจสอบผนังหมอกนั้น
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วขี่เมฆลอยลงมาโดยไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลย
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ก้าวยาวๆ ไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ลังเล เขาสะบัดข้อมือทำให้ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือของเขาประกายแสงออกมา และอ้านิ้วทั้งห้าออกจากกันวางลงไปตรงผนังหมอก
“พยัคฆ์คำราม”
หลังจากที่ไอสีดำออกจากร่างของหลิ่วหมิง แล้ว เขาก็ตะโกนเสียงดังออกมา
ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนมือพุ่งแสงสีเหลืองออกมารอบๆ หลังจากภาพหัวพยัคฆ์อันเลอะเลือนได้ปรากฏขึ้น พลังคลื่นสีขาวโพลนก็พุ่งโจมตีไปยังผนังหมอก
เสียงดัง “ฟู่”
คลื่นสีขาวนอกจากจะทำให้ไอหมอกที่อยู่ด้านบนสั่นไหวแค่เล็กน้อยแล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
พอหลิ่วหมิงเห็นว่าวิธีการโจมตีที่แข็งแร่งที่สุดของตนเองนั้นไม่ได้ผล ก็ดูหน้าเสียกว่าปกติมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา