หลิ่วหมิงกลับลงมาชั้นหนึ่งด้วยความไม่สบายใจ พอเขามาถึงชั้นหนึ่งดรุณีน้อยเสื้อเขียวยังคงก้มหน้าอ่านคัมภีร์ในมืออยู่ โดยไม่สนใจต่อการมาของเขา
หลิ่วหมิงจ้องมองดรุณีน้อยสักครู่ แล้วก็เดินออกจากหอไปอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด ทั้งยังหินจิตวิญญาณที่เพิ่งจะได้รับก็ใช้ไปหมดแล้ว แต่ในเมื่ออาจารย์จิตวิญญาณที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ตรวจสอบดูร่างกายของเขาแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ ก็นับว่าก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
บางทีความรู้สึกเย็นๆ ที่เท้าก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไปเองจริงๆ ก็ได้
มาถึงเวลานี้ เขาก็ได้แต่พูดปลอบใจตัวเองไปก่อน
หลิ่วหมิงแสดงวิชาทะยานเวหาอีกครั้ง แล้วขี่เมฆพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป มุ่งตรงไปยังที่พักของตนเองและเดินตรงไปห้องฝึกฝนทันที
เขานั่งขัดสมาธิลงไปแล้ว ก็สำรวจดูภายในร่างกายของตัวเองอีกครั้ง ยังคงไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ เขาคงไม่ต้องเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจแล้ว และหยิบตลับไม้ที่ใส่เศษเลือดเนื้อของปีศาจอสูรหนูตนนั้นออกมา แล้วตรวจสอบดูมันอย่างละเอียดอีกครั้ง
เกี่ยวกับประโยชน์การใช้สอยของเจ้าสิ่งนี้นั้น เขาเตรียมที่จะไปค้นหาจากคัมภีร์โบราณที่หอคัมภีร์โบราณของสาขาเก้าทารก แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน
ตอนนี้เขาเพิ่งจะทำภารกิจแลกแต้มคุณูปการได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ช่วงนี้ยังไม่คิดที่จะไปรับภารกิจที่หอดำเนินการอีก แต่จะเสริมสร้างพลังของตนเองให้สูงขึ้นสักหน่อยก่อน แล้วค่อยไปรับภารกิจที่สามารถทำได้
การออกไปครั้งนี้ถึงแม้จะได้แต้มคุณูปการมาหน่อยหนึ่ง แต่ก็เกือบจะทิ้งชีวิตตนเองไว้ในปากของเจ้าหนูยักษ์ตัวนั้น ทำให้เขายิ่งรีบร้อนที่จะเสริมสร้างพลังเพื่อป้องกันตัวได้ดียิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การออกไปครั้งนี้ยังไปผิดใจกับศิษย์จิตวิญญานขั้นกลางอย่างโอวหยางซิน ช่วงนี้หลบหน้าไปก่อนก็ดี
และในช่วงเวลานี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างพลังก็คือฝึกฝนควบคุมการใช้โล่สามดาวให้คล่องมือดังใจนึก อีกอย่างคือนำวิชาพื้นฐานที่ฝึกไว้แล้วมาฝึกฝนให้สำเร็จก้าวสู่ขั้นต้นๆ
หลิ่วหมิงคิดแผนในใจแล้ว ก็เก็บตลับไม้ที่บรรจุเศษเลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์เข้าไป และหยิบแผ่นเหล็กสามเหลี่ยมออกจากอกมาวางแทนที่ไว้บนมือ หลังจากสงบจิตแล้วก็เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
……
สองวันต่อมา พอหลิ่วหมิงกลับมาจากหอคัมภีร์โบราณก็ตรวจอ่านคัมภีร์หนาๆ เล่มนั้น ใบหน้าของเขาเผยรอยแห่งความดีใจระคนตระหนกตกใจอย่างถึงที่สุด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อเขาปิดคัมภีร์เล่มหนาลง ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตามบัณทึกในคัมภีร์ ถึงแม้จะเป็นปีศาจอสูรขั้นต่ำสุด ทั้งร่างของมันล้วนเป็นของล้ำค่า
เลือดเนื้อของปีศาจอสูรถ้ากินเข้าไปโดยตรง ก็สามารถเพิ่มพลังเวทย์ในการฝึกฝนได้ ถ้าหากนำมันมาปรุงเป็นโอสถผลลัพธ์ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรดิบๆ โดยตรงได้
ผลข้างเคียงที่ว่านี้หมายถึงการกินในระยะยาว ถ้านานๆ ครั้งจะกินหน่อยหนึ่งก็ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อผู้ที่กินมากนัก
และเครื่องใน กระดูก ขน หนัง และส่วนอื่นๆ ของปีศาจอสูรล้วนเป็นวัสดุที่ดีสำหรับการทำอาวุธ
หญิงผู้ที่มีนามว่าเย่เทียนเหมยนั้น อย่างน้อยก็คงอยู่ในขั้นอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไป ปีศาจอสูรที่ถูกเขาตามฆ่าอย่างไรก็ต้องไม่ใช่อสูรชั้นต่ำอยู่แล้ว
สีหน้าของหลิ่วหมิงประกอบไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทันใดนั้นเขาก็หยิบตลับไม้บรรจุเศษเลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์นั้นออกมา
ครั้งนี้หลังจากเปิดฝาแล้ว ก็หาตะเกียบไผ่มาคู่หนึ่ง กลับไม่รังเกียจกลิ่นคาวที่คละคลุ้งเต็มในนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มต้นใช้ตะเกียบคัดเศษเลือดเนื้อ และค่อยๆ แยกเศษ หนัง ขน กระดูก และเนื้อออกจากกันอย่างระมัดระวัง
เขาตั้งใจเร่งมือทำเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้หนังหนูชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้น ชิ้นเล็กสามชิ้น กับขนแข็งสีเขียวที่ติดอยู่ยี่สิบกว่าเส้น นอกจากนั้นยังมีเศษกระดูกสีขาวขนาดต่างๆ กันสิบสามชิ้น
หลิ่วหมิวหยิบกล่องเล็กมาอีกกล่อง นำขนและเศษกระดูกใส่เข้าไปในนั้น แล้วก็จ้องมองเลือดเนื้อที่เหลืออยู่ในตลับไม้ เขาแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากกัดฟันแล้วก็ใช้สองนิ้วคีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา
มือข้างหนึ่งทำท่ามือร่ายคาถา สายน้ำใสสะอาดก็ไหลตกลงมา เขานำเนื้อที่เปื้อนเศษดินล้างออกให้สะอาด
เขาเปลี่ยนไปร่ายอีกคาถาหนึ่ง เปลวไฟกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของเขาทั้งสอง พริบตาเดียวก็เผาไปที่ชิ้นเนื้อนั้น ครู่เดียวกลิ่นหอมก็โชยออกมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขยับข้อมือนำเนื้อที่กึ่งสุกกึ่งดิบใส่เข้าไปในปาก และค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด
ครู่ต่อมาตาทั้งคู่ของเขาก็หรี่ขึ้นมาฉับพลัน
รสชาดของเนื้อหนูนี้อร่อยแปลกประหลาดเป็นพิเศษ กัดเข้าไปแต่ละคำล้วนมีรสชาติสดอร่อยอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อกลืนลงไปก็กลายเป็นพลังอันร้อนระอุไหลไปรวมตัวอยู่ที่ทะเลจิตวิญญาณตรงจุดตันเถียน
เขาแค่ต้องเพิ่มการกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อย พลังภายในอันบริสุทธิ์แต่ละสายก็ไหลออกมาจากกลุ่มพลังงานเหล่านี้ ครู่เดียวก็กลายเป็นพลังเวทย์ของตนเอง
หลิ่วหมิงดีใจจนไม่ได้สนใจที่ลิ้มรสชาดสดอร่อยของชิ้นเนื้อเหล่านี้ เขากลืนชิ้นเนื้อที่อยู่ในปากลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกรวบรวมสมาธิทันที
พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว
เขาตรวจสอบพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น พลังเวทย์นั้นเพิ่มขึ้นเท่ากับการฝึกฝนครึ่งเดือนของเขาเลยทีเดียว
หลิ่วหมิงตกตะลึงไปครึ่งค่อนวัน แล้วก็หันหน้าไปมองชิ้นส่วนเลือดเนื้อที่ยังเหลืออยู่ แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
การกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรนี้ไม่ได้ทำให้อิ่มท้องสักเท่าไหร่ แต่ทางด้านการเพิ่มพลังเวทย์นั้นช่างมีผลที่น่าตกใจเป็นยิ่งนัก
นี่ไม่ใช่ว่าแค่เขากลืนกินเลือดเนื้อนี้ทุกวันๆ ละสองชิ้น ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สองได้สำเร็จแล้ว และสามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย
แต่พอเขาเพิ่งจะหยุดหัวเราะ ก็คิดใคร่ครวญให้ลึกซึ้งเข้าอีกหน่อย ก็พะวงในเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา