ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 40

สรุปบท ตอนที่ 40 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาด: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 40 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาด – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 40 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลิ่วหมิงกลับลงมาชั้นหนึ่งด้วยความไม่สบายใจ พอเขามาถึงชั้นหนึ่งดรุณีน้อยเสื้อเขียวยังคงก้มหน้าอ่านคัมภีร์ในมืออยู่ โดยไม่สนใจต่อการมาของเขา

หลิ่วหมิงจ้องมองดรุณีน้อยสักครู่ แล้วก็เดินออกจากหอไปอย่างเงียบๆ

ครั้งนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด ทั้งยังหินจิตวิญญาณที่เพิ่งจะได้รับก็ใช้ไปหมดแล้ว แต่ในเมื่ออาจารย์จิตวิญญาณที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ตรวจสอบดูร่างกายของเขาแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ ก็นับว่าก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

บางทีความรู้สึกเย็นๆ ที่เท้าก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไปเองจริงๆ ก็ได้

มาถึงเวลานี้ เขาก็ได้แต่พูดปลอบใจตัวเองไปก่อน

หลิ่วหมิงแสดงวิชาทะยานเวหาอีกครั้ง แล้วขี่เมฆพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป มุ่งตรงไปยังที่พักของตนเองและเดินตรงไปห้องฝึกฝนทันที

เขานั่งขัดสมาธิลงไปแล้ว ก็สำรวจดูภายในร่างกายของตัวเองอีกครั้ง ยังคงไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ เขาคงไม่ต้องเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจแล้ว และหยิบตลับไม้ที่ใส่เศษเลือดเนื้อของปีศาจอสูรหนูตนนั้นออกมา แล้วตรวจสอบดูมันอย่างละเอียดอีกครั้ง

เกี่ยวกับประโยชน์การใช้สอยของเจ้าสิ่งนี้นั้น เขาเตรียมที่จะไปค้นหาจากคัมภีร์โบราณที่หอคัมภีร์โบราณของสาขาเก้าทารก แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน

ตอนนี้เขาเพิ่งจะทำภารกิจแลกแต้มคุณูปการได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ช่วงนี้ยังไม่คิดที่จะไปรับภารกิจที่หอดำเนินการอีก แต่จะเสริมสร้างพลังของตนเองให้สูงขึ้นสักหน่อยก่อน แล้วค่อยไปรับภารกิจที่สามารถทำได้

การออกไปครั้งนี้ถึงแม้จะได้แต้มคุณูปการมาหน่อยหนึ่ง แต่ก็เกือบจะทิ้งชีวิตตนเองไว้ในปากของเจ้าหนูยักษ์ตัวนั้น ทำให้เขายิ่งรีบร้อนที่จะเสริมสร้างพลังเพื่อป้องกันตัวได้ดียิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น การออกไปครั้งนี้ยังไปผิดใจกับศิษย์จิตวิญญานขั้นกลางอย่างโอวหยางซิน ช่วงนี้หลบหน้าไปก่อนก็ดี

และในช่วงเวลานี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างพลังก็คือฝึกฝนควบคุมการใช้โล่สามดาวให้คล่องมือดังใจนึก อีกอย่างคือนำวิชาพื้นฐานที่ฝึกไว้แล้วมาฝึกฝนให้สำเร็จก้าวสู่ขั้นต้นๆ

หลิ่วหมิงคิดแผนในใจแล้ว ก็เก็บตลับไม้ที่บรรจุเศษเลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์เข้าไป และหยิบแผ่นเหล็กสามเหลี่ยมออกจากอกมาวางแทนที่ไว้บนมือ หลังจากสงบจิตแล้วก็เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ

……

สองวันต่อมา พอหลิ่วหมิงกลับมาจากหอคัมภีร์โบราณก็ตรวจอ่านคัมภีร์หนาๆ เล่มนั้น ใบหน้าของเขาเผยรอยแห่งความดีใจระคนตระหนกตกใจอย่างถึงที่สุด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อเขาปิดคัมภีร์เล่มหนาลง ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตามบัณทึกในคัมภีร์ ถึงแม้จะเป็นปีศาจอสูรขั้นต่ำสุด ทั้งร่างของมันล้วนเป็นของล้ำค่า

เลือดเนื้อของปีศาจอสูรถ้ากินเข้าไปโดยตรง ก็สามารถเพิ่มพลังเวทย์ในการฝึกฝนได้ ถ้าหากนำมันมาปรุงเป็นโอสถผลลัพธ์ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรดิบๆ โดยตรงได้

ผลข้างเคียงที่ว่านี้หมายถึงการกินในระยะยาว ถ้านานๆ ครั้งจะกินหน่อยหนึ่งก็ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อผู้ที่กินมากนัก

และเครื่องใน กระดูก ขน หนัง และส่วนอื่นๆ ของปีศาจอสูรล้วนเป็นวัสดุที่ดีสำหรับการทำอาวุธ

หญิงผู้ที่มีนามว่าเย่เทียนเหมยนั้น อย่างน้อยก็คงอยู่ในขั้นอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไป ปีศาจอสูรที่ถูกเขาตามฆ่าอย่างไรก็ต้องไม่ใช่อสูรชั้นต่ำอยู่แล้ว

สีหน้าของหลิ่วหมิงประกอบไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทันใดนั้นเขาก็หยิบตลับไม้บรรจุเศษเลือดเนื้อของเจ้าหนูยักษ์นั้นออกมา

ครั้งนี้หลังจากเปิดฝาแล้ว ก็หาตะเกียบไผ่มาคู่หนึ่ง กลับไม่รังเกียจกลิ่นคาวที่คละคลุ้งเต็มในนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มต้นใช้ตะเกียบคัดเศษเลือดเนื้อ และค่อยๆ แยกเศษ หนัง ขน กระดูก และเนื้อออกจากกันอย่างระมัดระวัง

เขาตั้งใจเร่งมือทำเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้หนังหนูชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้น ชิ้นเล็กสามชิ้น กับขนแข็งสีเขียวที่ติดอยู่ยี่สิบกว่าเส้น นอกจากนั้นยังมีเศษกระดูกสีขาวขนาดต่างๆ กันสิบสามชิ้น

หลิ่วหมิวหยิบกล่องเล็กมาอีกกล่อง นำขนและเศษกระดูกใส่เข้าไปในนั้น แล้วก็จ้องมองเลือดเนื้อที่เหลืออยู่ในตลับไม้ เขาแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากกัดฟันแล้วก็ใช้สองนิ้วคีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา

มือข้างหนึ่งทำท่ามือร่ายคาถา สายน้ำใสสะอาดก็ไหลตกลงมา เขานำเนื้อที่เปื้อนเศษดินล้างออกให้สะอาด

เขาเปลี่ยนไปร่ายอีกคาถาหนึ่ง เปลวไฟกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของเขาทั้งสอง พริบตาเดียวก็เผาไปที่ชิ้นเนื้อนั้น ครู่เดียวกลิ่นหอมก็โชยออกมา

หลิ่วหมิงค่อยๆ ขยับข้อมือนำเนื้อที่กึ่งสุกกึ่งดิบใส่เข้าไปในปาก และค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด

ครู่ต่อมาตาทั้งคู่ของเขาก็หรี่ขึ้นมาฉับพลัน

รสชาดของเนื้อหนูนี้อร่อยแปลกประหลาดเป็นพิเศษ กัดเข้าไปแต่ละคำล้วนมีรสชาติสดอร่อยอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อกลืนลงไปก็กลายเป็นพลังอันร้อนระอุไหลไปรวมตัวอยู่ที่ทะเลจิตวิญญาณตรงจุดตันเถียน

เขาแค่ต้องเพิ่มการกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อย พลังภายในอันบริสุทธิ์แต่ละสายก็ไหลออกมาจากกลุ่มพลังงานเหล่านี้ ครู่เดียวก็กลายเป็นพลังเวทย์ของตนเอง

หลิ่วหมิงดีใจจนไม่ได้สนใจที่ลิ้มรสชาดสดอร่อยของชิ้นเนื้อเหล่านี้ เขากลืนชิ้นเนื้อที่อยู่ในปากลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกรวบรวมสมาธิทันที

พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว

เขาตรวจสอบพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น พลังเวทย์นั้นเพิ่มขึ้นเท่ากับการฝึกฝนครึ่งเดือนของเขาเลยทีเดียว

หลิ่วหมิงตกตะลึงไปครึ่งค่อนวัน แล้วก็หันหน้าไปมองชิ้นส่วนเลือดเนื้อที่ยังเหลืออยู่ แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

การกินเลือดเนื้อปีศาจอสูรนี้ไม่ได้ทำให้อิ่มท้องสักเท่าไหร่ แต่ทางด้านการเพิ่มพลังเวทย์นั้นช่างมีผลที่น่าตกใจเป็นยิ่งนัก

นี่ไม่ใช่ว่าแค่เขากลืนกินเลือดเนื้อนี้ทุกวันๆ ละสองชิ้น ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สองได้สำเร็จแล้ว และสามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย

แต่พอเขาเพิ่งจะหยุดหัวเราะ ก็คิดใคร่ครวญให้ลึกซึ้งเข้าอีกหน่อย ก็พะวงในเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมา

และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา ไอสีดำบนตัวก็กลืนหายเข้าไปในร่างกาย

เขาใช้จิตตรวจสอบดูผลลัพธ์ของการฝึกฝนแล้ว ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา

การฝึกฝนในยี่สิบวันนี้นับว่าราบรื่นเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ทำให้พลังเวทย์เพิ่มขี้นหลายเท่าตัว แต่การสำเร็จเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สองนั้นก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ดูแล้วอีกสามสี่วันก็สามารถบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณระดับกลางแล้ว

ระดับความเร็วในการฝึกฝนอันน่ากลัวนี้ ทำให้ระยะเวลายี่สิบวันนี้ เขารู้สึกเหมือนเป็นแค่ความฝันที่จินตนาการขึ้นมาเอง

ดีที่พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นในแต่วันนั้นไม่ใช่เรื่องหรอกลวง ทะเลจิตวิญญาณที่ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนนั้นยังมีอยู่จริง มิเช่นนั้นเขาคงจะคิดว่าตัวเองอยู่ในฝันจริงๆ

หลิ่วหมิงสะบัดศีรษะ หันหน้าไปมองตลับไม้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วแสดงสีหน้าเสียดายออกมา

เลือดเนื้อที่เดิมทีมีครึ่งตลับ ตอนนี้เหลือแค่นิดหน่อยแล้ว เกรงว่าคงพอกินได้ไม่กี่วัน

หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แล้วก็ยกแขนขึ้นเพื่อหยิบชิ้นเนื้อในตลับไม้อย่างคุ้นเคย

แต่ในตอนนั้นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนทันที เขาหยุดการเคลื่อนไหวในฉับพลัน ในขณะเดียวกันดวงตาก็ส่องประกายแสดงความน่ากลัว

“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!”

หลิ่วหมิงพูดด้วยเสียงอันดังแล้ว แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปด้วยความตื่นตะลึง และรีบทำท่ามือกำหนดลมหายใจเข้าออกทันที

ไอสีดำพุ่งออกมาจากภายในร่างกาย มันหมุนเต้นอยู่รอบไปไม่หยุด……

เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นไม่ขยับเขยื้อน แต่ด้านหลังของเขาร้อนระอุ เหงื่อไหลไคลย้อยไปทั่วสรรพางค์กาย ไอสีดำที่พันวนอยู่รอบกายเขาลดน้อยลงกว่าก่อนหน้านั้นไปครึ่งหนึ่ง

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไอบนร่างเขาก็เหลือแค่ชั้นบางๆ กลับคืนสู่ระดับเดิมเมื่อยี่สิบวันก่อนนั้น

หลังจากพ่นลมหายใจออกมายาวๆ หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้สีหน้าเขาดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

ทะเลจิตวิญญาณของเขาที่เคยใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว ตอนนี้ได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว พลังเวทย์ที่เคยพรั่งพรูออกมา ตอนนี้ลดน้อยไปกว่าครึ่งหนึ่งของก่อนหน้าที่ทานเนื้อหนูนั้น

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา