“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่พบเจอกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังตามล่าปีศาจอสูรหนูอยู่พอดี แล้วถูกพาไปยังที่สถานที่ห่างไกลโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ปีศาจอสูรหนูก็ถูกสังหารแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นก็จากไปแล้ว ข้าถึงรีบกลับมาทันที” หลิ่วหมิงเล่าให้ฟังคร่าวๆ โดยไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
“ตามฆ่าปีศาจอสูร! มิน่าล่ะ ข้าว่าแล้วทำไมถึงมองเห็นอะไรบางอย่างมีสีเขียวแปลกๆ แต่ว่าผู้อาวุโสท่านนี้สามารถแสดงพลังออกมาได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปหรอกนะ ศิษย์น้องไป๋ เขาได้บอกชื่อแซ่กับเจ้าไหม!” มู่อวิ๋นเซียนหันหน้าไปดูเขาลูกข่างหินที่พังทลายสักครู่ แล้วถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้
“อืม ผู้อาวุโสท่านนี้มีนามว่า ‘เย่เทียนเหมย’ ดูเหมือนจะไม่ใช่คนในนิกายเรา ในโลกนี้เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้ไหม?” หลิ่วหมิงใจเต้น แล้วก็กล่าวออกมาตามตรง
“เย่เทียนเหมย ชื่อนี้ข้ายังไม่เคยได้ยินจริงๆ ศิษย์พี่อู ท่านเคยไปอยู่นอกนิกายมาช่วงหนึ่ง พอจะรู้บ้างไหมว่านิกายไหนมีผู้อาวุโสที่มีชื่อนี้?” มู่เซียนอวิ๋นส่ายศีรษะแล้วก็หันหน้าไปถามศิษย์พี่อู
“ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ แต่ก็ไม่แปลก ในแผ่นดินต้าเสวียนนี้ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือสักกี่คนที่ไม่ทราบชื่อ พวกเราไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ครั้งนี้ได้เผชิญกับเหตุการณ์อันน่ากลัวแบบนี้ พวกเราทุกคนกลับรอดปลอดภัยก็นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก” ศิษย์พี่อูนึกอยู่สักครู่ แล้วกล่าวออกมา
“มันก็จริง” มู่อวิ๋นเซียนถอนหายใจออกมา
พวกเขาก็ไม่ได้สอบถามต่อเกี่ยวกับเรื่องราวที่หลิ่วหมิงได้เผชิญมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสระดับนี้จะติดต่ออะไรกับหลิ่วหมิงที่เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง
“ใช่สิ ตอนที่ข้าจากไป ศิษย์พี่ตู้กับศิษย์พี่มู่รวบรวมผลเส้นโลหิตได้ครบไหม” หลิ่วหมิงคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามออกไป
“เขาลูกข่างหินพังทะลายลงมาแล้ว ผลเส้นโลหิตก็ถูกฝังลึกอยู่ในนั้น ข้ากับศิษย์พี่มู่ช่วยกันหาอย่างสุดกำลัง รวบรวมมาได้แค่แปดสิบกว่าผล ศิษย์น้องไป๋ ก่อนหน้านั้นเจ้าเด็ดมาได้บ้างไหม” ตู้ไห่ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ที่ข้าก็มียี่สิบกว่าผลเพียงพอสำหรับการส่งมอบภารกิจ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมไปเลย อย่างนี้ก็แสดงว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว ตอนนี้พวกเราก็กลับนิกายไปส่งมอบภารกิจกันเถอะ”
คนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
ดังนั้นทั้งห้าคนจึงปรึกษากันเล็กน้อย แล้วก็รีบขี่เมฆเหาะกลับไปยังนิกายปีศาจ
หลายชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็กล่าวลากับมู่อวิ๋นเซียนและคนอื่นๆ ตอนที่ออกมาจากหอดำเนินการเขาได้รับแต้มคุณูปการห้าแต้มกับหินจิตวิญญาณยี่สิบเหรียญ
ประโยชน์ของหินจิตวิญญาณไม่ต้องพูดถึง แต่แต้มคุณูปการนี้กลับเพียงพอให้เขาไปฟังการสอนจากอาจารย์จิตวิญญาณที่หอปัญญาสวรรค์ หรือเข้าไปยัง ‘บ่อวิญญาณ’ ได้นานหนึ่งชั่วยาม
แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่รีบร้อนที่จะทำเรื่องเหล่านี้ กลับรีบร้อนขี่เมฆทะยานไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ผ่านไปชั่วครู่ เขาเหาะลงไปยังป่าสีม่วงแก่ ด้านหน้ามีหอไม้สีขาวไม่ค่อยใหญ่มากนักอยู่หอหนึ่ง ทั้งหลังล้วนสร้างขึ้นมาจากไม้ทั้งสิ้น ไม่เห็นมีหินแม้แต่ก้อนเดียว
หน้าประตูมีป้ายแขวนอยู่ บนแผ่นป้ายนั้นมีอักขระสีเขียวคำว่า ‘โรงหมอเทวดา’ ติดอยู่
ประตูใหญ่ของหอปิดสนิท แต่แถวประตูใหญ่มีชั้นไม้สูงเท่าคนหนึ่งคน ด้านล่างมีระฆังสีเงินห้อยอยู่ และมีฆ้อนสีเดียวกันวางอยู่ข้างๆ
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เดินไป หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็หยิบฆ้อนเล็กจากชั้นไม้เคาะไปที่ระฆังไปเล็กหนึ่งที
“เต๊ง” เสียงกังวานดังขึ้น
ประตูใหญ่ที่เดิมทีปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออก
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง แล้วก็ก้าวยาวๆ เข้าไป แต่พอเข้าไปยังห้องโถงชั้นแรก เมื่อกวาดสายตามองแล้วก็รู้สึกงงงันอย่างอดไม่ได้
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ นอกจากโต๊ะไม้ไผ่สีแดงตัวหนึ่ง กับดรุณีน้อยเสื้อเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใบหลังโต๊ะตัวนั้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอีก
และดรุณีน้อยตอนนี้ กำลังก้มหน้าอ่านหนังคัมภีร์เล่มบางๆ ในมืออยู่ และกล่าวออกมาอย่างเมินเฉยโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา
“อยากจะรักษาโรคเยียวยาบาดแผล ไปชั้นสอง อยากไปถอนพิษขับไล่สิ่งเสนียดจัญไรให้ไปชั้นสาม”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ฟังแล้วก็พยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังบันไดโล่งๆ แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง ก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาหันหน้ากลับไปถามอย่างใจจดใจจ่อ
“ขอถามหน่อย ไม่ทราบว่าท่านคือศิษย์พี่เจียหลานใช่หรือไม่”
ได้ยินคำถามแบบนี้ ร่างของดรุณีน้อยเสื้อเขียวก็ขยับ เธอเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอันหมดจดงดงามมองมาทางหลิ่วหมิง
ที่แท้ก็คือเจียหลานผู้ที่มีร่างละเมอฝันผู้นั้น
ไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มาปรากฏขึ้น ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร
“เจ้าคือ…” ใบหน้าของดรุณีน้อยเสื้อเขียวแสดงความแปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจำศิษย์น้องอย่างหลิ่วหมิงไม่ได้แล้ว
“ศิษย์น้องไป๋ชงเทียน ตอนนั้นเข้ามาเป็นศิษย์จิตวิญญาณพร้อมกับศิษย์พี่ แต่ว่าศิษย์พี่เจียหลานไม่ได้เข้าสาขาหยินทนทรมาณหรอกหรือ ทำไมถึงมาปรากฏที่โรงหมอเทวดาได้” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ตอบกลับไป
ร่างละเมอฝันของดรุณีน้อยที่อยู่ข้างหน้านี้ ตอนนั้นเคยทำให้เขาตกใจมาก่อนแล้ว ตอนนี้ได้มาเจอกันอีกครั้งโดยไม่คาดคิด ทำให้เขารู้สึกอยากถามขึ้นมา
“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องไป๋ โรงหมอเทวดานี้เดิมทีก็อยู่ในการดูแลของอาจารย์อาคนหนึ่งในสาขาหยินทนทรมาณ ข้าปรากฏตัวที่นี่มีอะไรน่าแปลกเล่า เอาล่ะศิษย์น้องไปทำเรื่องของตัวเองเถอะ ข้ายังต้องอ่านหนังสือต่อ” ในที่สุดดรุณีน้อยเสื้อเขียวก็จำหลิ่วหมิงขึ้นมาได้ แต่ก็แค่อธิบายไม่กี่ประโยคอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วยกมือขึ้นห้ามปราม จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านคัมภีร์ต่อ
ได้รับการปฏิบัติต่อนางเมินเฉยเมยอย่างนี้ หลิ่วหมิงได้แต่เบะปาก หลังจากกำมือข้างหนึ่งทำการคารวะแล้ว ก็ก้าวขึ้นบันไดไปโดยไม่กล่าวอะไร
ชั้นสองเป็นห้องที่มีกลิ่นของโอสถจางๆ โชยออกมา แต่ด้านนอกประตูแขวนม่านสีขาวไว้ ทำให้เขามองไม่เห็นว่าข้างในมีคนหรือไม่
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย แล้วก็ก้าวขึ้นไปชั้นสาม
พอเท้าทั้งคู่ของเขาแตะที่ชั้นสาม ยังไม่ทันได้ดูอะไรให้ละเอียด ก็มีเสียงเย็นยะเยือกของหญิงนางหนึ่งลอยเข้ามา
“เจ้าโดยพิษแปลกประหลาดอันใด ทำไมไม่ไปหาผู้อาวุโสในนิกายของเจ้า แต่กลับมาหาข้าที่นี่”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพายุขาวโพลนที่ม้วนตัวโหมพัดเข้ามา ร่างของตัวเองหมุนวนหลายรอบ แล้วก็ถูกพลังมหาศาลดึงเข้าไปยังสถานที่ไกลออกไป
เขากลับมายืนได้มั่นคงอีกครั้งด้วยความตกตะลึง ตอนนี้เขายืนอยู่ด้านหน้าหญิงนางหนึ่งที่ใส่หมวกมีผ้าสีเขียวคลุมลงมา
ถึงแม้จะมีหมวกใบนั้นบังอยู่ หลิ่วหมิงก็ยังคงรู้สึกถึงสายตาที่เปล่งประกายของฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนกับว่านางค่อนข้างรู้สึกสนใจกับการมาของเขามากทีเดียว
ห้องโถงของชั้นสามตกแต่งแบบงดงามและราบเรียบ แต่เตียงนอนได้ปูที่นอนอย่างครบครัน แม้กระทั่งยังมีดอกไม้สวยงามที่ไม่ทราบชื่อปักอยู่ตรงมุม
“เรียนท่านอาจารย์อา ข้าน้อยไม่ได้โดนพิษ แต่เหมือนจะโดนสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง เลยมาที่นี่เพื่อขอให้ท่านช่วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
โรงหมอเทวดานี้เขาก็รู้มาจากปากคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่ากันว่าที่นี่มีอาจารย์จิตวิญญาณที่เชี่ยวชาญในการรักษาคอยดูแลด้วยตนเอง ครอบคลุมถึงโรคที่รักษาได้ยาก กับพิษแปลกประหลาดและการสาปแช่งต่างๆ ท่านรักษาได้ผลชะงักนัก
และเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจกับเจ้าสิ่งเย็นๆ ที่มุดเข้าไปในร่างกายของเขา กลัวว่ามันจะเป็นสิ่งชั่วร้ายอะไรที่เจ้าปีศาจอสูรหนูตัวนั้นทิ้งไว้ ด้วยเหตุนี้พอแยกตัวกับคนอื่นๆ แล้วเขาก็รีบมาที่นี่ทันที
เขาไม่อยากที่จะทิ้งสิ่งสกปรกอะไรไว้ในร่างกาย
“สิ่งชั่วร้าย! มันช่างน่าสนใจซะแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้พบเจอบ่อยๆ ให้ข้าดูหน่อยเถอะ” หญิงใส่หมวกคลุมตะลึงเล็กน้อย แต่หลังจากที่ตาประกายแสง ดูเหมือนจะรู้สึกสนใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
มือข้างหนึ่งของนางทำท่ามือ อีกข้างหนึ่งยื่นนิ้วชี้มาแตะที่หน้าผากของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวาหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าถึงแม้ตัวเองจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบ แต่ก็ไม่สามารถหลบหลีกการแตะต้องที่ดูเหมือนจะไม่เร็วมากนี้ได้
“ทำจิตให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องขัดขืน ข้าจะตรวจสอบดูภายในของเจ้าว่ามีสิ่งชั่วร้ายอยู่ไหม” หญิงใส่หมวกคลุมกำชับอย่างเยือกเย็น
หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาไม่รีรอที่จะทำจิตให้ผ่อนคลาย
ผ่านไปสักครู่ เขารู้สึกถึงพลังงานแปลกประหลาดเข้ามาทางหน้าผาก ทะลุสู่ภายในร่างกายของเขา และมันเริ่มสำรวจไปทั่วร่างกายของเขา
“แปลกจริง ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือว่าจะเป็นสิ่งชั่วร้ายชนิดที่มีความสามารถในการหลบซ่อนระดับสูง” หญิงนางนี้กล่าวพึมพำ แล้วก็เก็บนิ้วคืนกลับมา นางสะบัดแขนเสื้อก็มีแสงประกายออกมา จากนั้นกระจกทองเหลืองที่ดูงดงามละเอียดอ่อนก็โผล่ออกมา
“นี่คือกระจบปราบมาร ถ้าหากเจ้าโดนคำสาปแช่ง หรือเจ้าโดนสิ่งชั่วร้ายอะไร มันก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการตรวจสอบของมันไปได้ แต่วิธีการนี้อาจจะเจ็บปวดสักหน่อย เจ้าอยากจะลองดูไหม” หญิงสวมหมวกคลุมกล่าวออกมา
“อะไรนะ เจ็บปวด?” หลิ่วหมิงกำลังจะถามว่าความเจ็บปวดนั่นคืออะไร ก็เห็นฝ่ายตรงข้ามเอากระจกทองเหลืองมาแกว่งตรงด้านหน้าของเขา แสงสีขาวโพลนก็พุ่งออกมาจากกระจก และกะพริบจมหายเข้าไปในร่างกายของเขา
ในช่วงพริบตาเดียว เรารู้สึกถึงลำแสงสีขาวที่ส่องไปทั่วร่างกายของเขา ครู่เดียวเลือดสีแดงก็เดือดปุดๆ ความรู้สึกเจ็บปวดดังถูกแมลงหมื่นตัวมากัดต่อยประดังประเดเข้ามา
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะมีความทรหดกว่าใครๆ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างเวทนา
“หยุดร้อง ข้าใกล้จะตรวจสอบเสร็จแล้ว” หญิงสวมหมวกคลุมไม่สนใจความเจ็บปวดของหลิ่วหมิง แต่กลับยกมือข้างหนึ่งคว้าไปที่อากาศด้านหน้าเขาอย่างทนรำคาญไม่ได้
พลังมหาศาลไร้รูปบางอย่างพรั่งพรูออกมาในทันที พริบตาเดียวก็ตรึงร่างของหลิ่วหมิงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ลำแสงสีขาวนั้นเริ่มต้นกวาดดูทั่วร่างแต่ละจุดของหลิ่วหมิง
ครู่เดียวหลิ่วหมิงก็มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างโดนมีดดาบนับหมื่นนับพันเล่มคอยทิ่มแทง ดูเหมือนจะเจ็บปวดกว่าตอนทำพิธีเปิดจิตวิญญาณสามเท่า
“เจ้ากล้าโกหกข้า ร่างกายของเจ้ามีสิ่งชั่วร้ายที่ไหนกัน” หญิงนางนี้เก็บกระจกทองเหลืองด้วยความโมโหและกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“อะไรนะ นี่ก็ยังหาไม่พบ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์อาลองอีกวิธีหนึ่งดู” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นอิสระแล้ว ความเจ็บปวดภายในก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ
“ฮึ! ข้าใช้กระจกปราบมารมาเป็นร้อยครั้ง ยังไม่เคยล้มเหลวสักครั้ง หรือว่าเจ้าคลางแคลงใจในฝีมือข้างั้นรึ! ไสหัวออกไป” หญิงสวมหมวกคลุมได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น
“ศิษย์ไม่กล้าคิดเช่นนั้น!” พอฝ่ายตรงข้ามเผยความกดดันออกมา หลิ่วหมิงก็ใจสั่นสะท้าน ทำได้แต่กล่าวว่า “มิกล้า” แล้วถอยออกไป
ถ้าหากเขาออกช้าเกินไปล่ะก็ เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะสั่งสอนเขาด้วยวิธีการที่ลึกล้ำ
“ช้าก่อน ทิ้งหินจิตวิญญาณไว้ยี่สิบก้อน หรือเจ้าจะให้ข้าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์!” หญิงสวมหมวกคลุมดวงตาเป็นประกายแล้วก็กล่าวด้วยเสียงอันดัง
“หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่กล้าขัดขืน รีบนำหินจิตวิญญาณที่เพิ่งจะได้รับมาสดๆ ร้อนๆ วางไว้บนพื้น จากนั้นก็ออกไปจากชั้นสามอย่างร้อนรน
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา