ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 38

“เจ้าช่างกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเห็นปีศาจอสูรหนูเข่นฆ่าผู้คนอยู่ระหว่างดินแดนของเรา และตามฆ่ามันจนถึงที่นี่แล้วล่ะก็ ยังไม่รู้ว่ามันจะสร้างความยุ่งยากให้กับโลกแห่งการฝึกฝนในดินแคว้นต้าเสวียนมากมายขนาดไหน ตอนนี้ข้าไม่แม้แต่จะได้ยินคำขอบคุณจากท่าน ทั้งยังมาหาเรื่องข้าอีก หรือว่าสหายเยี่ยนคิดว่าท่านอาวุโสกว่าแล้วจะมาดูถูกผู้ที่อายุน้อยกว่าได้ หรือว่าคิดที่จะไม่รองานชุมนุมเซียน แล้วลงมือประลองกับข้า” พอเย่เทียนเหมยได้ยินคำพูดนี้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันจนตั้งตรง ใบหน้าฉายแววดุร้ายขึ้นมา

“ท่านเซียนอย่าได้โกรธ แขนขาข้าแก่ชราขนาดนี้ไม่อาจทนทรมานได้ แต่ด้วยวิชากระบี่บินที่ท่านเซียนฝึกสำเร็จ ใช้จัดการกับแค่ปีศาจอสูรหนูตนหนึ่ง แต่กลับปล่อยให้มันวิ่งหนีมายังดินแดนนิกายปีศาจของพวกข้าได้ นี่ยังมีเหตุผลอะไรที่ต้องแก้ตัวอีก” ดูเหมือนผู้อาวุโสชุดเทาจะตกใจนิดหน่อย แล้วก็ยกมือห้ามปราม แต่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“เจ้าจะรู้อะไร? นี่เป็นปีศาจอสูรหนูที่ไม่รู้วิ่งมาจากไหน มันฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณซึ่งห่างจากข้าและเจ้าที่อยู่ระดับผลึกจิตวิญญาณเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะสติของเจ้าปีศาจอสูรหนูตนนี้ยังไม่ค่อยฟื้นตัวดีสักเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามันตกอยู่ในสภาพบางอย่างที่สามารถใช้ได้แค่สัญชาตญาณในการต่อสู้อย่างบ้าระห่ำ ไม่เช่นนั้นข้าเองคงไม่อาจลงมือได้ง่ายดายถึงเพียงนี้” เย่เทียนเหมยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อะไรนะ ปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณ ท่านเซียนคงไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ ปีศาจอสูรหนูเป็นอสูรที่ต่ำชั้นที่สุด โดยทั่วไปมันไม่อาจฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้” ผู้อาวุโสเสื้อเทาได้ยินก็รู้สึกตกใจขึ้นมา

“ท่านคิดว่าข้าโกหกหรอกรึ ฮึ! ช่างเถอะ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร!” เย่เทียนเหมยอุทานออกมาเบาๆ มือข้างหนึ่งหมุนพลิกขึ้น โถกลมๆ สีเหลืองก็ปรากฏขึ้นบนมือทันที

หญิงนางนี้ใช้มือตบเบาๆ ที่โถกลมๆ ชิ้นส่วนผลึกสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองชิ้นหนึ่งก็กระเด็นออกมา แล้วใช้นิ้วหยกดีดเบาๆ

เสียงดัง “ฟู่”

แผ่นผลึกกลายเป็นแสงสีดำพุ่งตรงไปยังผู้อาวุโสชุดเทา ซึ่งมันไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกธนูเลยแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสหรี่ตาทั้งคู่ ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย แต่ด้านหน้ากลับมีลมแปลกประหลาดพัดขึ้นมา ทันใดนั้นกรงเล็บปีศาจที่มีเกล็ดสีเขียวกระจายไปทั่วก็ยื่นออกมา แค่หยิบมือเดียวก็จับแผ่นผลึกชิ้นนั้นได้

“ดูเหมือนหลายปีมานี้สหายเยี่ยนท่านก็ไม่อยู่ว่างๆ ศพขนเหล็กเขียวของท่านคงตัวนี้ก็ใกล้จะกลายเป็นศพเงินแล้ว”

เย่เทียนเหมยเห็นดังนี้ ลูกตาดำก็หดลงเล็กน้อย

“เฮ่อๆ ท่านเซียนพูดล้อเล่นแล้ว ศพเหล็กถ้าจะพัฒนาให้กลายเป็นศพเงินไม่รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรมากมายเท่าไหร่ ข้าจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

ผู้อาวุโสชุดเทาหัวเราะกล่าวออกมา และยื่นมือไปรับแผ่นผลึกสีดำจากมือปีศาจอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นค่อยๆ ตรวจดูมันอย่างละเอียด

เย่เทียนเหมยได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มเยือกเย็น แต่กลับไม่ได้ถามอะไรต่อ

จนผ่านไปสักครู่ สีหน้าของผู้อาวุโสชุดเทาก็เปลี่ยนไป เขานำแผ่นผลึกนั้นมาดมแล้วก็แสดงสีหน้าที่ดูไม่ได้ออกมา

“ที่แท้ก็เป็นอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณ ดูจากองค์ประกอบของมันที่แตกสลายออกมานี้ มันคืออสูรหนูไม่ผิด แต่นี้ช่างแปลกจริงๆ หรือว่าอสูรหนูตนนี้เป็นอสูรที่มีลักษณะพิเศษในการบรรลุขั้น?”

“ข้าเองก็คิดแบบนี้ แต่ข้าเตรียมสิ่งเหล่านี้ไปให้ศิษย์พี่ข้าตรวจสอบดู” เย่เทียนเหมยกล่าวขึ้นช้าๆ

“ถ้าหากเป็นเหลิ่งเยวี่ยก็ล่ะก็ ย่อมไม่มี ย่อมไม่มีปัญหา ด้วยประสบการณ์ของนาง คงให้คำตอบที่ดีได้” ผู้อาวุโสเสื้อเทาได้ยินชื่อ ‘เหลิ่งเยวี่ย’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แต่รีบกระแอมไอแล้วทำสีหน้ากลับมาเป็นปกติ

“สหายเยี่ยนคิดว่าไม่มีปัญหา คิดว่าคงไม่คาดโทษที่ข้าเข้ามาในนิกายปีศาจแล้วใช่ไหม ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ขอลาก่อนล่ะ แล้วพบกันอีกครั้งตอนงานชุมนุมเซียน” เย่เทียนเหมยตอบกลับเรียบๆ แสงสีเงินก็เปล่งประกายม้วนตัวออกมา แล้วกลายเป็นลูกแสงกลมๆ พุ่งขึ้นฟ้าไป พริบตาเดียวก็หายไปจากขอบฟ้า

ผู้อาวุโสเสื้อเทาก็หาได้ห้ามแต่อย่างใดไม่ แต่เมื่อหญิงผู้นั้นไปไกลแล้ว คิ้วเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

และในตอนนี้มีคลื่นสั่นไหวมาจากยอดเขาด้านล่าง และมีคนผู้หนึ่งขี่เมฆสีดำทะยานเข้ามาหา

“ท่านอาจารย์! หรือว่าผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสเย่ที่ความสามารถควบคุมกระบี่บินได้สำเร็จเพียงหนึ่งเดียวของนิกายจันทราสวรรค์” พอบุคคลผู้นี้ลอยมาถึงด้านหน้าของผู้อาวุโส ก็ถามขึ้นอย่างนอบน้อม

ดูจากรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์แล้ว ชายผู้นั้นก็คือผู้ที่เฝ้าดูแลหอเก็บคัมภีร์ที่มีเรียกว่า ‘อาจารย์อาหร่วน’ นั่นเอง

“อืม ไม่ผิด คือนางนั่นแหละ เจ้าเด็กนี่ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ก็ฝึกฝนกระบี่ไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว เกรงว่าแม้แต่ศิษย์พี่เหลิ่งเยวี่ยของนาง ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแล้ว” ผู้อาวุโสชุดเทาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น

“แต่ว่าศพเหล็กขนเขียวของอาจารย์ก็ใกล้จะบรรลุขั้นแล้ว รอมันบรรลุเข้าขั้นศพเงินคิดว่าคงจะเก่งกาจกว่ากระบี่บินของฝั่งตรงข้าม และก็คงไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป” อาจารย์อาหร่วนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ถึงแม้ศพเหล็กตนนี้ใกล้จะก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้ว แต่ก็อย่างที่ข้าบอกไป มันไม่ได้บรรลุได้ง่ายขนาดนั้น ยังไม่รู้ว่าข้าจะต้องทุ่มเทกับมันอีกสักเท่าไหร่” ผู้อาวุโสชุดเทาส่ายหน้า

“ด้วยกำลังของท่านอาจารย์ การที่ทำให้ศพเหล็กบรรลุขั้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น มันไม่มีปัญหาอย่างอื่นแน่นอน” อาจารย์อาหร่วนกล่าว

“หวังว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้น ใช่สิ ข้าได้ยินมาว่ามีศิษย์ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าอีกคน เมื่อหลายวันก่อนร่างกายระเบิดเสียชีวิตระหว่างการทะลวงเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณแล้ว” ผู้อาวุโสชุดเทาพยักหน้า แล้วก็ตีหน้าขรึมขึ้นมา

“เป็นประมุขนิกายที่บอกท่านอีกล่ะสิ” อาจารย์อาหร่วนได้ยิน สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ฮึ! ทำไมต้องให้ศิษย์พี่เจ้ารายงานข้า พอมีศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณสามารถบรรลุเข้าถึงขั้นปลายของศิษย์จิตวิญญาณได้ ทั้งยังล้มเหลวในการบรรลุเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณ นอกจากฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าแล้ว จะยังมีสาเหตุอื่นได้หรือ? เรื่องนี้ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงแม้เคล็ดวิชากระดูกดำนั้นจะเป็นของที่ปรมาจารย์ได้ทิ้งไว้ และยังทิ้งคำพูดไว้ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนั้นท่านเองก็ได้รับแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังลงทุนลงแรงกว่าจะแปลเคล็ดการฝึกฝนสามขั้นแรกออกมาได้ และก็สามารถทำให้แค่ฝึกฝนจนถึงศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น เจ้าเองถึงแม้ว่าจะเขี่ยวชาญในอักขระมรกตมืด แต่ไหนเลยจะสามารถเทียบได้กับความสามารถของปรมาจารย์ แปลเคล็ดวิชาขั้นที่สี่เองโดยพลการจะต้องมีบางส่วนที่แปลไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นศิษย์ที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำเหล่านี้ ทำไมถึงไม่มีใครบรรลุเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จล่ะ ถ้าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป เจ้าน่าจะรู้ว่าสาขาของเขาจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน!” ผู้อาวุโสชุดเทาอุทานแล้วกล่าวออกมา ด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“อาจารย์อา ศิษย์ไม่ยินยอมจริงๆ เพื่อที่จะแปลเคล็ดกระดูกดำขั้นที่สี่ ไม่รู้ว่าทุ่มเทใจกายไปตั้งเท่าไหร่ แม้กระทั่งไม่สนว่ามันจะหน่วงเหนี่ยวการฝึกฝนของตนเอง และขังตัวเองไว้ในหอคัมภีร์มานานขนาดนี้ ขอแค่มีศิษย์ที่สามารถฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่ได้สำเร็จ การบรรลุเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณของศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณในนิกายเรา ก็สามารถทำได้แล้ว มันทำให้ก่อเกิดอาจารย์จิตวิญญาณได้ไม่น้อย ทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังให้กับนิกายของเราได้อย่างรวดเร็วด้วย” อาจารย์อาหร่วนรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ แต่ก็กล่าวอธิบายออกมา

“คำพูดแบบนี้ข้าไม่รู้ว่าฟังมากี่รอบแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ข้าจะยอมจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไร แต่นี่เป็นศิษย์คนที่เจ็ดที่ระเบิดเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะหาข้ออ้างได้ สาเหตุที่แท้จริงก็มีแต่พวกเราสามคนเท่านั้นที่รู้ แต่เกรงว่ามันอาจจะทำให้ผู้อื่นรับรู้ได้ มิเช่นนั้นศิษย์พี่ของเจ้าคงไม่มาบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องเคล็ดวิชากระดูกดำให้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ จากนี้เป็นต้นไปไม่อนุญาตให้เจ้าถ่ายทอดวิชานี้ให้ศิษย์นิกายสายในโดยพละการเด็ดขาด มิเช่นนั้นอย่าว่าข้าไม่เห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด

“รับทราบ ในเมื่อท่านอาจารย์สั่งมา ต่อไปศิษย์ก็ไม่กล้าถ่ายทอดวิชานี้ให้กับศิษย์นิกายสายในอีก แต่ว่าตอนนี้ยังมีศิษย์สองคนฝึกฝนวิชานี้อยู่ จะทำอย่างไรกับพวกเขาดี?” อาจารย์อาหร่วนใจสั่นสะท้าน รีบโค้งตัวลงกล่าวด้วยความตกใจ

“เจ้ารู้จักผิดชอบชั่วดีก็ดีแล้ว สำหรับสองคนที่ได้ถ่ายทอดไปแล้ว ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเองเถอะ เอาล่ะ เจ้าลุกขึ้นแล้วกลับไปยังหอเก็บคัมภีร์เถอะ ข้าเองก็ต้องกลับไปเขตหวงห้ามเก็บตัวบำเพ็ญต่อแล้ว ไม่ต้องนำเรื่องที่ข้าออกมาไปบอกกับคนอื่นๆ” ผู้อาวุโสชุดเทาสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วกล่าวกำชับอีกไม่กี่ประโยค

“รับทราบ ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ขอลาก่อน” อาจารย์อาหร่วนลุกขึ้นมาทำการคารวะอีกครั้ง จากนั้นก็ขี่เมฆเหาะไปยังนิกายปีศาจ

ผู้อาวุโสชุดเทาคิดใคร่ครวญอยู่ที่เดิมเงียบๆ สักครู่ และหัวเราะเยือกเย็นออกมา แล้วก็กลายเป็นไอสีขาวเทาพุ่งขึ้นฟ้าไป

……

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วดูตลับไม้สีดำที่ประคองอยู่ในมือ

ในตลับนั้นครึ่งหนึ่งใส่เศษเลือดเนื้อส่วนหนึ่งที่ดูไม่ออกมาว่ามันเป็นสิ่งใด อีกครึ่งหนึ่งนั้นปนเปไปด้วยดินจำนวนหนึ่ง และชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในนั้น ก็เป็นแค่หนังสีเทาขนาดเท่าหัวนิ้วโป้งมีขนสีเขียวติดอยู่สิบกว่าเส้น

และทั้งหมดนี้คือเศษเลือดเนื้อของหนูยักษ์ที่ใช้เวลาหมดไปกว่าครึ่งชั่วยามถึงค้นมันมาได้จากป่าดงดิบ

จากที่เห็นนี้ หญิงก่อนหน้านี้นางใช้กระบี่บินสีเงินได้เก่งกาจระดับไหนกัน

ในสมองของหลิ่วหมิงได้ปรากฏภาพใบหน้าเย็นหน้างดงามนั้น เขาสะบัดศีรษะอย่างอดไม่ได้ แล้วเก็บตลับไม้นั้น จากนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะขี่เมฆเหาะออกไป

แต่ในขณะนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นเบาๆ แถวเท้า ตามด้วยความเย็นที่ค่อยๆ เกิดขึ้นที่เท้า คล้ายกับว่ามีอะไรแหลมเล็กบางอย่างกำลังแทงเข้าไปในร่างกาย

หลิ่วหมิงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี สองมือรีบทำท่ามือ เล็งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบในร่างกายอย่างรวดเร็ว

สองขา จุดตันเถียน ลำตัว แขนไหล่ ศีรษะ…

เขาค้นหาอย่างรวดเร็ว ในร่างกายไม่มีสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย

หน้าผากของหลิ่วหมิงเริ่มมีเหงื่อออกมาหน่อยหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เอามือไปถอดรองเท้าออก ก็ไม่มีรอยขาดใดๆ ตรวจสอบพื้นดินบริเวณนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

หรือว่าเมื่อสักครู่นี้เป็นความรู้สึกที่เขามโนคิดไปเอง

หลิ่วหมิงมีเริ่มมีสีหน้าที่ไม่ปกติแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบด้านไปหนึ่งรอบ รู้สึกว่าต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างนั้นดูราวกับมีกลิ่นอายแปลกประหลาดที่พูดไม่ถูก จนเขารู้สึกเย็นวาบที่กลางหลัง

เขากระทืบเท้าอย่างรุนแรง ในที่สุดก็ขี่เมฆทะยานฟ้าออกไปทางนิกายปีศาจอย่างไม่ลังเล

เขาใช้เวลาเหาะไปทั้งหมดหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงจะเหาะกลับมาถึงเขาลูกข่างหิน

พอเขาเข้าใกล้เขาที่ตอนนี้กลายเป็นกองหินที่ระเนระนาด ก็มีก้อนเมฆสีเทาสี่ก้อนพุ่งทะยานขึ้นมาจากป่าดงดิบแถบนั้นทันที ผู้ยืนอยู่บนก้อนเมฆเหล่านั้นก็คือมู่อวิ๋นเซียน ศิษย์พี่อู และคนอื่นๆ

“ศิษย์น้องไป๋ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”

“เจ้าไม่เป็นไรนะ ก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าถูกผู้อาวุโสท่านนั้นจับตัวไปหรือ?”

มู่เซียนอวิ๋นและคนอื่นๆ พอเห็นหลิ่วหมิงต่างก็สอบถามด้วยความดีใจ

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา