ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 37

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจ จนไม่ได้ทันได้สนใจเจ้าผลเส้นโลหิตอะไรนั่น มือข้างหนึ่งทำท่ามือ ครู่เดียวเมฆสีเทาก็รวมกันใต้เท้า และเตรียมพร้อมที่จะพุ่งขึ้นไป

แต่ในขณะนั้น ภูเขาหินที่อยู่ด้านหน้าก็ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อะไรบางอย่างที่มีสีเขียวพุ่งออกมาจากในนั้น มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ทำให้เขามองไม่ชัดว่ามันคือสิ่งใด

หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัว รีบควบเมฆสีเทาให้ถอยหลังออกและเหาะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

เจ้าสิ่งที่มีสีเขียวนั้น หักทิศทางในระดับอากาศที่ต่ำ แล้วก็ผลุบหายไปในยอดเขา

“เจ้าสารเลว ยังคิดที่จะหนีอีก โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงเย็นยะเยือกของหญิงนางหนึ่ง ดังสะท้อนมาจากบนอากาศ

ตามด้วยฉากที่หลิ่วหมิงยากที่จะเชื่อได้ปรากฏขึ้น

ดูเหมือนว่าท้องฟ้าสีครามเข้มที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ทันใดนั้นเมฆขาวจำนวนมากได้ปรากฏออกมา หลังที่มันหมุนมารวมเป็นก้อนเดียวกันแล้ว ทันใดนั้นก็มีแสงฝ่ามือกดลงไปยังยอดเขานั้นจากที่ไกลๆ

เสียงดัง “ตู้ม”

ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมาจากยอดเขาถึงหลายสิบจั้ง แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกว่าพลังที่มองไม่เห็นนั้นพุ่งลงไปยังด้านล่าง ตามด้วยเสียงกระหึ่มดังอยู่ตรงหูทั้งสองข้าง เขาลูกข่างหินที่อยู่ไม่ไกลก็แตกละเอียดเป็นจุนๆ และถล่มลงมา

หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็ตกตะลึงจนตาค้าง

และในขณะนี้ มีเสียงดัง “ ฟิ้ว” เจ้าเงาสีเขียวนั้น ดีดตัวออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และมันไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าใส่เขา

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าพอลมพัดกลิ่นคาวเข้ามา เจ้าปีศาจร้ายก็กระโจนเข้ามาด้านเขาพร้อมกลิ่นอายแห่งการฆ่า ทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ

เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัวและใจ แม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้ ยิ่งไม่สามารถที่จะหลบหนีหรือป้องกันอะไรได้เลย ทำได้แค่จ้องมองปากกระหายเลือดขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า และอ้าปากพร้อมที่งับหัวของเขาโดยที่เขาไม่สามารถขัดขืนได้

“ไสหัวไป เจ้าสารเลว จนถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังคิดที่จะดูดเลือดคนเพื่อรักษาบาดแผลอีกเหรอ” และในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น พื้นที่ว่างเปล่าตรงข้างหลิ่วหมิงก็สั่นไหว ร่างอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน พอนางแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งก็สว่างแวบขึ้นมา ทำให้ปากกระหายเลือดขนาดใหญ่นั้นโดนสายฟ้าผ่าจนแตกเป็นชิ้นๆ

เสียงแผดร้องดังขึ้น เงาสีเขียวหกคะเมนตีลังกาติดต่อกันหลายรอบแล้วถึงจะกลับมายืนมั่นคงได้อีกครั้ง

ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และรู้สึกผวาทันทีที่ได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเงาสีเขียวนั้น

มันคือหนูยักษ์มีขนสีเขียวขนาดเท่าแพะหนึ่งตัว ตาแดงก่ำทั้งสองข้าง และจ้องมองบุคคลลึกลับที่ยืนอยู่ข้างกายเขาด้วยความคาดแค้น

หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงไป ตอนที่เขากำลังคิดที่จะหันหน้าไปดูว่าผู้ที่มาปรากฏกายข้างๆ คือใครนั้น เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวตัวนั้นกลับขยับตัวกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งหนีไกลออกไป

“เจ้าสารเลว ยังคิดจะหนีอีก” ร่างอรชรอุทานฮึ! ออกมา แต่ก็ลังเลเล็กน้อย และนั้นก็จับไหล่ของหลิ่วหมิง จากนั้นแสงสีเงินก็ม้วนตัวออกมา ทั้งสองกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงินไล่ตามไป

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีเงินที่อยู่ด้านหน้าแสบตาจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ หูก็ได้ยินแต่เสียงอู้ๆ ประทุเข้ามา และยังมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นเป็นครั้งคราว ร่างทั้งร่างถูกพลังบางอย่างผูกมัดไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ที่มีความกล้ามาก ตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกผวาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เสียงดัง “ตุบ”

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าเสียงที่ดัง “อู้ๆ” อยู่ตรงข้างหูทั้งสองข้างนั้นได้หยุดลงไปแล้ว เท้าทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นดินอีกครั้ง และสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระแล้ว เขารีบลืมตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบด้าน แต่เขาก็ต้องสะดุ้งตกใจในทันที

ตอนนี้เขาเห็นตัวเองยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ

และยอดเขาเล็กอีกลูกหนึ่งทางฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวเหยียบอยู่บนยอดต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง มันกำลังมองมาทางฝั่งเขาด้วยความดุร้าย

แต่ตอนนี้บนตัวของมันมีบาดแผลลึกยาวหลายฉื่อเพิ่มขึ้นมา และมีเปลวไฟสีเงินเป็นเส้นๆ ลุกโหมเผาไหม้อยู่ไม่หยุด จนมีกลิ่นเผาไหมโชยออกมา

และบุคคลลึกลับที่พาเขามานั้น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันโหดเหี้ยมของเจ้าหนูยักษ์ ถึงแม้หลิ่วหมิงจะกล้าหาญ แต่ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่พอเขากัดฟัน มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปตรงอกดึงแผ่นเหล็กสามเหลี่ยม ที่ห้อยอยู่ที่คอด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ออกมา และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง

แสงสีดำสามจุดประกายออกมาจากแผ่นเหล็ก โล่แสงสีดำมืดก็ปรากฏขึ้นมาตรงด้านหน้าเขา บังกายกว่าครึ่งส่วนของเขาไว้

เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวไม่สนใจต่อการกระทำของหลิ่วหมิง แต่ตาทั้งสองกวาดมองดูอะไรบางอย่างไปรอบด้านอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่กล้าทำการเคลื่อนไหวใดๆ

แต่เพียงครู่เดียว ร่างเจ้าหนูยักษ์ขนเขียวก็สะบัดตัวขึ้นมาทันที ในบัดดลนั้นมันก็ปล่อยขนแข็งคล้ายลูกธนูที่อยู่บนหลังของมันพุ่งออกไป

หลิ่วหมิงได้ยินแต่เสียง “ฟิ้วๆ” ลำแสงสีเขียวจำนวนมากก็พุ่งมายังบริเวณด้านหน้าของเขาราวกับสายฝน ใบหน้าเขาซีดเผือดลงทันที

ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในโล่สามดาวนี้ แต่ก็รู้ว่ามันไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธที่คมกริบเช่นนี้

เสียงดัง “เพล้ง”

โถสีเหลืองปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิ่วหมิงโดยฉับพลัน มันหมุนติ้วๆ แล้วก็เปล่งแสงห้าสีพุ่งออกมา

ลำแสงสีเขียวของลูกธนูทั้งหมดก็สั่นเล็กน้อย แล้วถูกดูดเข้าไปในขันนั้น

เจ้าหนูยักษ์เห็นดังนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบหมุนตัววิ่งหนี แต่มันกลับช้าไปเสียแล้ว

ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดดังมาจากท้องฟ้า แสงรุ้งสีเงินเส้นหนึ่งม้วนตัวลงไป แล้วม้วนเอาเจ้ายักษ์เข้าไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแล่บ

หลังจากมีเสียงแผดร้องประหลาดดังขึ้น ร่างของมันก็ถูกแสงเงินจำนวนมากบีบรัดจนเลือดออกมากลายเป็นสายฝนโปรยปราย เหลือไว้เพียงแค่ของเหลวสีดำเหนียวข้นที่พยายามดิ้นรนหาทางออกมาด้วยความยากลำบาก

แสงสีเงินเปล่งประกายขึ้นที่บนท้องฟ้า ร่างของหญิงนางหนึ่งที่สวมใส่ชุดราชสำนักสีเงินก็ปรากฏขึ้น ดวงตาคู่งามมองลงไปด้านล่างสักอยู่ แล้วก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นทันที

“เจ้าสัตว์ชั่วร้ายนี่เกือบจะบรรลุเข้าสู่ขั้นผลึกจิตวิญญาณเสมือนแล้ว มิน่าล่ะถึงได้ฆ่าคนไปทั่ว แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ข้าก็ยิ่งละเว้นเจ้าไม่ได้ เวหาสีเงิน ทำลายมันซะ!”

สิ้นเสียงคำสั่ง แสงสีเงินที่ล้อมรอบลูกกลมๆ สีดำนั้นก็รัดแน่นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก้อนของเหลวกลมดำก็ดิ้นอย่างรุนแรงสักครู่ ก็แตกร้าวกลายเป็นแผ่นผลึกหลายแผ่นในทันที คลื่นพลังไร้รูปบางอย่างพุ่งออกมา ทำให้แสงสีเงินเกิดรูโหว่งขึ้นมาหนึ่งช่อง

หลังจากเสียงแผดร้องประหลาดดังขึ้น ควันสีดำกลุ่มหนึ่งก็ถือโอกาสลอดออกมา หลังจากมีเสียงดังเพล้ง แล้วก็เกิดเป็นควันสีดำเกือบร้อยเส้นหนีออกไปรอบทิศทาง

“ยังคิดที่จะหนีอีก! วิชาร้อยกระบี่!” หญิงสาวที่มีแสงเงินอยู่ทั่วร่างขมวดเข้าหากันทันที มือข้างหนึ่งก็ทำท่ามือ

ลำแสงสีเงินด้านล่างสั่นแล้วก็ยิงกระบี่แสงสีเงินเล็กๆ กว่าร้อยลำลงไปจนเกิดเป็นภาพเลือนตา มันก็ไล่ตามควันสีดำแต่ละกลุ่มอย่างไม่ละเว้น

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ แสงสีเงินเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องควันสีดำก็ค่อยๆ ถูกทำลายจนหมดสิ้น

“กลับมา”

หญิงสวมใส่ชุดราชสำนักทำท่ามืออีกครั้ง กระบี่แสงสีเงินเล็กๆ ทั้งหมดก็กลับคืนมา และหลังจากภาพเลือนลางเกิดขึ้น ก็กลายเป็นกระบี่ยาวสีเงินเล่มหนึ่งที่มีความยาวฉื่อกว่าๆ แล้วก็กะพริบหายเข้าไปในแขนเสื้อ

หญิงนางนี้กวักมือเรียกมาทางหลิ่วหมิง

หลังจากเสียงดังหวึ่งๆ แล้ว โถกลมๆ ชิ้นนั้นก็พุ่งเข้าไปหานาง

หลังจากผ่านไปสักครู่ นางผู้นี้ก็ร่ายคาถา มือข้างหนึ่งถือโถกลมไว้แล้วก็แกว่งมันลงไปทางด้านล่าง

เสียง “ซู่ๆ” ดังขึ้น ผลึกที่ระเบิดกระจายออกมาเป็นชิ้นๆ และเลือดเนื้อต่างๆ ของเจ้าหนูยักษ์ ก็เกาะกลุ่มกันลอยขึ้นมาแล้วเข้าไปอยู่ในโถ

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หญิงนางนี้ถึงหันมามองหลิ่วหมิง แล้วกล่าวอย่างเมินเฉยว่า

“เจ้าเป็นศิษย์นิกายปีศาจสินะ ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าสัตว์อสูรนี่ นับว่าได้ช่วยเหลือข้าไปด้วยเล็กน้อย ข้าเย่เทียนเหมย เกิดมาไม่เคยติดค้างใคร ยังเหลือเศษเลือดเนื้อของเจ้าอสูรนี้เล็กน้อย ข้าขี้เกียจไปตามเก็บแล้ว เหลือไว้เป็นค่าตอบแทนให้เจ้าก็แล้วกัน”

เพิ่งจะกล่าวจบ ร่างของหญิงนางนี้ก็ประกายแสงสีเงิน แล้วกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงินพุ่งขึ้นฟ้าจากไป

หญิงผู้มีนามว่าเย่เทียนเหมยนี้ ไม่เปิดโอกาสให้หลิ่วหมิงได้กล่าวอะไรออกมาเลย เหลือไว้เพียงแต่ใบชาเย็นชางดงามไว้ในความทรงจำของเขา

หลิ่วหมิงกำลังจ้องไปทางที่หญิงผู้นั้นหายไป เขายืนตกตะลึงไม่ขยับเขยื้อนอยู่สักครู่ ถึงละสายตากลับมา

“นี่สิถึงจะเป็นความสามารถในการหลบหลีกเหินเวหาที่แท้จริง ที่แท้ผู้ฝึกฝนสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ แต่ก่อนนี้นับว่าตัวเองนั้นเป็นแค่กบในกะลาซะแล้ว แต่ว่าเขาคงไม่ได้เป็นแค่อาจารย์จิตวิญญาณหรอกนะ”

เขาพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค สีหน้าตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ในส่วนลึกในดวงตากลับมีประกายคุโชนโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกไร้พลังจนชีวิตถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายหลายครั้งก่อนหน้านั้น ทำให้เขายิ่งตกอยู่อันตราย ในใจของเขายิ่งก่อเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น

หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่บนหินยักษ์สักครู่ ถึงจะทำท่ามือขี่เมฆทะยานขึ้นไป เขาควบคุมเมฆให้ลอยไปยังสถานที่ที่หนูยักษ์ตัวนั้นตาย

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเศษเลือดเนื้อของเจ้าสัตว์อสูรนั้นจะใช้ประโยชน์อันใดได้บ้าง แต่ด้วยสถานะของฝ่ายตรงข้าม คงจะไม่เอาสิ่งของที่ไม่มีประโยชน์มาตอบแทนเขาหรอก

ตอนที่หลิ่วหมิงลงไปหาเศษเลือดเนื้อของสัตว์อสูรตนนั้น หญิงที่มีนามว่าเย่เทียนเหมยผู้นั้นก็ทะยานไปได้ไกลกว่าร้อยลี้แล้ว

ทันใดนั้นหญิงนางนี้ก็เปลี่ยนสีหน้า เธอหยุดชะงักและหันหน้ามองลงไปยังยอดเขาลูกหนึ่งแล้วกล่าวอย่างเมินเฉยว่า

“ที่แท้สหายเยี่ยนได้รออยู่ที่นี่แล้ว ข้าว่าแล้วทำไมตอนที่ข้าทำเสียงอึกทึกครึกโครมปานนั้น เจ้าถึงไม่ปรากฏกายขึ้นมา”

“ท่านเซียนเย่ นับวันยิ่งบำเพ็ญตบะได้ลึกซึ้ง ข้าปิดซ่อนกายไม่แม้แต่หายใจ ก็ยังถูกท่านเซียนจับได้” ไอสีขาวเทาม้วนตัวพุ่งขึ้นจากบนยอดเขาไปยังบนฟ้า ปรากฏร่างผู้อาวุโสชุดเทา มวยผมสามจุก และกล่าวกับหญิงสาวนางนี้ด้วยความแปลกใจ

“ฮึ! ที่นี่เป็นเขตนิกายปีศาจของพวกเจ้า นอกจากสหายเยี่ยนแล้ว จะมีสหายนักพรตคนไหนอีกที่ฝึกฝนถึงจนระดับผลึกได้!” เย่เหมยเทียนขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ข้าเกือบจะคิดว่าท่านเซียนเย่บรรลุเข้าสู่ขั้นผลึกจิตวิญญาณเสมือนซะแล้ว” ผู้อาวุโสชุดเทาผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมาแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ

“ผลึกจิตวิญญาณเสมือนใช่ว่าจะบรรลุได้ง่ายๆ แต่สหายท่านแอบหลบอยู่ที่นี่ เพื่อจุดประสงค์อันใด?” เย่เทียนเหมยถามกลับไป

ท่านเซียนมาสร้างความวุ่นวายในดินแดนนิกายปีศาจของข้า ควรจะต้องอธิบายความให้แจ่มแจ้งหน่อยล่ะ นิกายปีศาจของเราถึงแม้จะอ่อนแอ แต่ไม่ใช่ที่ที่จะให้ใครมารังแกถึงที่ได้ง่ายๆ” ผู้อาวุโสเสื้อเทาได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา