หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจ จนไม่ได้ทันได้สนใจเจ้าผลเส้นโลหิตอะไรนั่น มือข้างหนึ่งทำท่ามือ ครู่เดียวเมฆสีเทาก็รวมกันใต้เท้า และเตรียมพร้อมที่จะพุ่งขึ้นไป
แต่ในขณะนั้น ภูเขาหินที่อยู่ด้านหน้าก็ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อะไรบางอย่างที่มีสีเขียวพุ่งออกมาจากในนั้น มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ทำให้เขามองไม่ชัดว่ามันคือสิ่งใด
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัว รีบควบเมฆสีเทาให้ถอยหลังออกและเหาะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าสิ่งที่มีสีเขียวนั้น หักทิศทางในระดับอากาศที่ต่ำ แล้วก็ผลุบหายไปในยอดเขา
“เจ้าสารเลว ยังคิดที่จะหนีอีก โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงเย็นยะเยือกของหญิงนางหนึ่ง ดังสะท้อนมาจากบนอากาศ
ตามด้วยฉากที่หลิ่วหมิงยากที่จะเชื่อได้ปรากฏขึ้น
ดูเหมือนว่าท้องฟ้าสีครามเข้มที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ทันใดนั้นเมฆขาวจำนวนมากได้ปรากฏออกมา หลังที่มันหมุนมารวมเป็นก้อนเดียวกันแล้ว ทันใดนั้นก็มีแสงฝ่ามือกดลงไปยังยอดเขานั้นจากที่ไกลๆ
เสียงดัง “ตู้ม”
ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมาจากยอดเขาถึงหลายสิบจั้ง แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกว่าพลังที่มองไม่เห็นนั้นพุ่งลงไปยังด้านล่าง ตามด้วยเสียงกระหึ่มดังอยู่ตรงหูทั้งสองข้าง เขาลูกข่างหินที่อยู่ไม่ไกลก็แตกละเอียดเป็นจุนๆ และถล่มลงมา
หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็ตกตะลึงจนตาค้าง
และในขณะนี้ มีเสียงดัง “ ฟิ้ว” เจ้าเงาสีเขียวนั้น ดีดตัวออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และมันไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าใส่เขา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าพอลมพัดกลิ่นคาวเข้ามา เจ้าปีศาจร้ายก็กระโจนเข้ามาด้านเขาพร้อมกลิ่นอายแห่งการฆ่า ทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ
เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัวและใจ แม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้ ยิ่งไม่สามารถที่จะหลบหนีหรือป้องกันอะไรได้เลย ทำได้แค่จ้องมองปากกระหายเลือดขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า และอ้าปากพร้อมที่งับหัวของเขาโดยที่เขาไม่สามารถขัดขืนได้
“ไสหัวไป เจ้าสารเลว จนถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังคิดที่จะดูดเลือดคนเพื่อรักษาบาดแผลอีกเหรอ” และในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น พื้นที่ว่างเปล่าตรงข้างหลิ่วหมิงก็สั่นไหว ร่างอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน พอนางแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งก็สว่างแวบขึ้นมา ทำให้ปากกระหายเลือดขนาดใหญ่นั้นโดนสายฟ้าผ่าจนแตกเป็นชิ้นๆ
เสียงแผดร้องดังขึ้น เงาสีเขียวหกคะเมนตีลังกาติดต่อกันหลายรอบแล้วถึงจะกลับมายืนมั่นคงได้อีกครั้ง
ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และรู้สึกผวาทันทีที่ได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเงาสีเขียวนั้น
มันคือหนูยักษ์มีขนสีเขียวขนาดเท่าแพะหนึ่งตัว ตาแดงก่ำทั้งสองข้าง และจ้องมองบุคคลลึกลับที่ยืนอยู่ข้างกายเขาด้วยความคาดแค้น
หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงไป ตอนที่เขากำลังคิดที่จะหันหน้าไปดูว่าผู้ที่มาปรากฏกายข้างๆ คือใครนั้น เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวตัวนั้นกลับขยับตัวกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งหนีไกลออกไป
“เจ้าสารเลว ยังคิดจะหนีอีก” ร่างอรชรอุทานฮึ! ออกมา แต่ก็ลังเลเล็กน้อย และนั้นก็จับไหล่ของหลิ่วหมิง จากนั้นแสงสีเงินก็ม้วนตัวออกมา ทั้งสองกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงินไล่ตามไป
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีเงินที่อยู่ด้านหน้าแสบตาจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ หูก็ได้ยินแต่เสียงอู้ๆ ประทุเข้ามา และยังมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นเป็นครั้งคราว ร่างทั้งร่างถูกพลังบางอย่างผูกมัดไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ที่มีความกล้ามาก ตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกผวาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เสียงดัง “ตุบ”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าเสียงที่ดัง “อู้ๆ” อยู่ตรงข้างหูทั้งสองข้างนั้นได้หยุดลงไปแล้ว เท้าทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นดินอีกครั้ง และสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระแล้ว เขารีบลืมตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบด้าน แต่เขาก็ต้องสะดุ้งตกใจในทันที
ตอนนี้เขาเห็นตัวเองยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ
และยอดเขาเล็กอีกลูกหนึ่งทางฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวเหยียบอยู่บนยอดต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง มันกำลังมองมาทางฝั่งเขาด้วยความดุร้าย
แต่ตอนนี้บนตัวของมันมีบาดแผลลึกยาวหลายฉื่อเพิ่มขึ้นมา และมีเปลวไฟสีเงินเป็นเส้นๆ ลุกโหมเผาไหม้อยู่ไม่หยุด จนมีกลิ่นเผาไหมโชยออกมา
และบุคคลลึกลับที่พาเขามานั้น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันโหดเหี้ยมของเจ้าหนูยักษ์ ถึงแม้หลิ่วหมิงจะกล้าหาญ แต่ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่พอเขากัดฟัน มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปตรงอกดึงแผ่นเหล็กสามเหลี่ยม ที่ห้อยอยู่ที่คอด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ออกมา และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง
แสงสีดำสามจุดประกายออกมาจากแผ่นเหล็ก โล่แสงสีดำมืดก็ปรากฏขึ้นมาตรงด้านหน้าเขา บังกายกว่าครึ่งส่วนของเขาไว้
เจ้าหนูยักษ์ขนเขียวไม่สนใจต่อการกระทำของหลิ่วหมิง แต่ตาทั้งสองกวาดมองดูอะไรบางอย่างไปรอบด้านอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่กล้าทำการเคลื่อนไหวใดๆ
แต่เพียงครู่เดียว ร่างเจ้าหนูยักษ์ขนเขียวก็สะบัดตัวขึ้นมาทันที ในบัดดลนั้นมันก็ปล่อยขนแข็งคล้ายลูกธนูที่อยู่บนหลังของมันพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงได้ยินแต่เสียง “ฟิ้วๆ” ลำแสงสีเขียวจำนวนมากก็พุ่งมายังบริเวณด้านหน้าของเขาราวกับสายฝน ใบหน้าเขาซีดเผือดลงทันที
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในโล่สามดาวนี้ แต่ก็รู้ว่ามันไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธที่คมกริบเช่นนี้
เสียงดัง “เพล้ง”
โถสีเหลืองปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิ่วหมิงโดยฉับพลัน มันหมุนติ้วๆ แล้วก็เปล่งแสงห้าสีพุ่งออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา