หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างก็ไม่ออกความเห็นใดๆ
ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงค่อยๆ แสดงวิชาทะยานเวหาแล้วบังคับเมฆเหาะขึ้นไป และตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
พอเหาะออกมาจากเขตของนิกาย หลิ่วหมิงก็มองลงไปดูยอดเขาใหญ่เล็กต่างๆ ด้วยความตื่นตะลึง
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตั้งแต่เข้านิกายมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่ออกจากนิกาย แน่นอนว่าย่อมค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก
คนอื่นๆ ทั้งสี่ก็ยืนกันเป็นคู่ๆ ควบคุมเมฆไปด้วย พูดคุยอะไรบางอย่างไปด้วย
ศิษย์พี่อู ตู้ไห่ และศิษย์พี่เหมยผู้นั้นต่างก็ไม่ได้สนใจหลิ่วหมิงเลยแม่แต่น้อย มีแค่มู่เซียนอวิ๋นที่คอยหันมาพูดคุยกับหลิ่วหมิงบ้างสองสามประโยค
แน่นอนว่าหลิ่วหมิงย่อมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
เขาออกมาครั้งนี้ สิ่งสำคัญก็เพื่อมาดูการทำภารกิจเพิ่มแต้มคุณูปการด้วยตาของตนเองเท่านั้น ต่อไปจะได้หาประสบการณ์สั่งสมด้วยตนเอง สำหรับคนอื่นนั้น จะมีท่าทีต่อเขาเช่นไร เขาก็หาได้นำมาใส่ใจไม่
ชั่วครู่เดียวทั้งหมดก็เหาะมาได้ครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังมาจากด้านหน้า และก็มีเมฆเทาก้อนหนึ่งลอยมา
มู่เซียนและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย
แต่พอพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ลอยเข้ามาคือใคร ตู้ไห่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที มู่อวิ๋นเซียน และศิษย์พี่อูก็มีสีหน้าที่ดูไม่ดีเหมือนกัน
“เอ๋! นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่มู่หรอกหรือ! ศิษย์พี่จะไปไหนกัน ให้ศิษย์น้องไปเป็นเพื่อนไหม” ผู้ที่ขี่เมฆลอยมาผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีขาว นับว่ารูปร่างหน้าตาสง่าผ่าเผย เพียงแต่เวลามองดูมู่อวิ๋นเซียน ดวงตาคู่ที่มีสีขุ่นกลับฉายแววลามกอนาจารออกมา
“ฮึ! โอวหยางซิน ข้าจะไปที่ไหนไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” มู่อวิ๋นเซียนยังไม่ทันจะกล่าว ตู้ไห่ก็อดไม่ได้ เขาเหาะมายังด้านหน้า จ้องหน้าโอวหยางซินแล้วกล่าวขึ้น
“ตู้ไห่ เจ้าเป็นศิษย์สาขาหยินทนทรมาณ มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของสาขาระบำปีศาจเรา ข้าพูดกับศิษย์พี่มู่ ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องมาเอ่ยอะไร อีกอย่างถ้าพูดถึงสายสัมพันธ์ ศิษย์พี่มู่นับว่าเป็นพี่สะใภ้ของข้า ข้าเองก็เป็นห่วงในฐานะน้องชายของสามีนาง ก็เป็นเรื่องธรรมดา” ชายหนุ่มเสื้อขาวที่ชื่อโอวหยางซิน ยิ้มเยือกเย็นกล่าวออกมา
พอตู้ไห่ได้ยินคำพูดนี้ ก็โกรธจนศีรษะแทบระเบิด มือจับดาบยาวในฝักที่แบกอยู่ด้านหลังไว้มั่น
มู่อวิ๋นเซียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ศิษย์น้องโอวหยาง ข้ากับศิษย์น้องมู่ร่วมมือกันไปทำภารกิจของนิกาย จำนวนคนก็ได้ครบแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องเพิ่มคน ศิษย์น้องก็ต้องไปรับมอบภารกิจที่นิกายก่อนถึงจะได้” ครั้งนี้ศิษย์พี่อูถอนหายใจ แล้วเหาะออกมากล่าวคลี่คลายกับโอวหยางซิน
“เฮ่อๆ ไม่เป็นไร เจ้าแต้มคุณูปการนั้นข้าเองก็ไม่ได้สนใจ เจ้าเด็กนั่นดูท่าเพิ่งจะเข้านิกายมาใหม่ๆ ใช่ไหม ตอนนี้นับว่าเจ้าได้เปรียบแล้วล่ะ เจ้ารีบกลับไป ข้าจะช่วยเจ้าทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จเอง พอถึงเวลาแต้มคุณูปการก็จะถูกแบ่งไปสะสมอยู่ในป้ายชื่อของเจ้า” โอวหยางซินหัวเราะ ชี้มือไปทางหลิ่วหมิง กล่าวออกมาด้วยความหยิ่งผยอง
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ร่องหนังตาก็กระตุก ชายตามองไปยังสายตาวิงวอนของมู่อวิ๋นเซียน ที่ได้แต่แอบร้องโอดครวญอยู่ในใจไม่หยุด
ตู้ไห่ ศิษย์พี่อูและคนอื่นๆ ได้ยินดังนี้ ต่างก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันไป
หลิ่วหมิงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ตนเองตอนนี้ต้องกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบไปด้วย
โอวหยางซินผู้นี้กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับมู่เซียนอวิ๋นและคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในนิกาย ถ้าหากตนเองไม่ตอบรับคำขอของฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าย่อมผิดใจกับคนผู้นี้ แต่ถ้าตอบรับไปล่ะก็ ก็เท่ากับว่าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับมู่เซียนอวิ๋นและคนอื่นๆ
โอวหยางซินเห็นสีหน้าลังเลของหลิ่วหมิง ก็ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าเด็กน้อย ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดีกลับไม่ฟัง อย่าให้ข้าต้องบังคับนะ เจ้ากลับไปสอบถามดูก็ได้ว่าข้าโอวหยางซินเป็นใคร ข้าให้โอกาสแล้วเจ้าจะไม่รับใช่ไหม!”
หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็ตัดสินใจได้ภายในพริบตา แล้วกล่าวตอบกลับไปทันที
“ถึงแม้ข้าน้อยจะได้ยินชื่อของท่านเป็นครั้งแรก แต่ในนิกายของเราคงไม่มีชื่อของท่านอยู่ในรายนามอาจารย์จิตวิญญาณหรอกมัง ถ้าท่านคิดที่จะบัญชาการข้าน้อย รอท่านเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
“เจ้าพูดอะไร!” โอวหยางซินได้ยินก็โกรธเป็นอย่างมาก และขยับตัวพร้อมที่จะโจมตีเข้ามา
แต่ในเวลานั้นเองตู้ไห่ก็ขวางทางเขาไว้ และมือก็กดคมดาบของเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ดูเหมือนศิษย์น้องโอวหยางจะลืมกฎของนิกายเรา ศิษย์ที่ต่อสู้กันโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษสถานเบาคือโดนแส้ฟาด โทษสถานหนักคือทำลายพลังเวทย์ ต้องให้ข้าสอนเจ้าไหม”
ตอนนี้ศิษย์น้องเหมยก็ลอยเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วยืนอยู่ข้างๆ ตู้ไห่
“ดี ดีมาก ในเมื่อศิษย์พี่มู่ไม่ยอมให้ข้าเข้าร่วมด้วย ข้าก็จะไม่ฝืนใจแล้ว” โอวหยางซินกวาดสายตามองไปยังพวกเขาสักครู่ ก็เปลี่ยนใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับความโกรธไว้
พร้อมกับบังคับควบคุมเมฆลอยผ่านจากไป
แต่พอเขาลอยผ่านหลิ่วหมิง กลับใช้น้ำเสียงเบาๆ ในการขู่กรรโชกหลิ่วหมิง แต่ทุกคนก็ยังคงได้ยิน
“เจ้าเด็กน้อย ข้าจดจำท่าทีจองเจ้าไว้แล้ว ครั้งหน้าอย่าให้ข้าได้เจอหน้าเจ้าอีก”
คำพูดเพิ่งจะสิ้นสุดลง เขาก็เร่งความเร็วลอยก่างออกไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน แต่หลิ่วหมิงแค่ขมวดคิ้ว เพียงครู่เดียวก็มีสีหน้าปกติราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา