ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 36

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างก็ไม่ออกความเห็นใดๆ

ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงค่อยๆ แสดงวิชาทะยานเวหาแล้วบังคับเมฆเหาะขึ้นไป และตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

พอเหาะออกมาจากเขตของนิกาย หลิ่วหมิงก็มองลงไปดูยอดเขาใหญ่เล็กต่างๆ ด้วยความตื่นตะลึง

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตั้งแต่เข้านิกายมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่ออกจากนิกาย แน่นอนว่าย่อมค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก

คนอื่นๆ ทั้งสี่ก็ยืนกันเป็นคู่ๆ ควบคุมเมฆไปด้วย พูดคุยอะไรบางอย่างไปด้วย

ศิษย์พี่อู ตู้ไห่ และศิษย์พี่เหมยผู้นั้นต่างก็ไม่ได้สนใจหลิ่วหมิงเลยแม่แต่น้อย มีแค่มู่เซียนอวิ๋นที่คอยหันมาพูดคุยกับหลิ่วหมิงบ้างสองสามประโยค

แน่นอนว่าหลิ่วหมิงย่อมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

เขาออกมาครั้งนี้ สิ่งสำคัญก็เพื่อมาดูการทำภารกิจเพิ่มแต้มคุณูปการด้วยตาของตนเองเท่านั้น ต่อไปจะได้หาประสบการณ์สั่งสมด้วยตนเอง สำหรับคนอื่นนั้น จะมีท่าทีต่อเขาเช่นไร เขาก็หาได้นำมาใส่ใจไม่

ชั่วครู่เดียวทั้งหมดก็เหาะมาได้ครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังมาจากด้านหน้า และก็มีเมฆเทาก้อนหนึ่งลอยมา

มู่เซียนและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย

แต่พอพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ลอยเข้ามาคือใคร ตู้ไห่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที มู่อวิ๋นเซียน และศิษย์พี่อูก็มีสีหน้าที่ดูไม่ดีเหมือนกัน

“เอ๋! นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่มู่หรอกหรือ! ศิษย์พี่จะไปไหนกัน ให้ศิษย์น้องไปเป็นเพื่อนไหม” ผู้ที่ขี่เมฆลอยมาผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีขาว นับว่ารูปร่างหน้าตาสง่าผ่าเผย เพียงแต่เวลามองดูมู่อวิ๋นเซียน ดวงตาคู่ที่มีสีขุ่นกลับฉายแววลามกอนาจารออกมา

“ฮึ! โอวหยางซิน ข้าจะไปที่ไหนไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” มู่อวิ๋นเซียนยังไม่ทันจะกล่าว ตู้ไห่ก็อดไม่ได้ เขาเหาะมายังด้านหน้า จ้องหน้าโอวหยางซินแล้วกล่าวขึ้น

“ตู้ไห่ เจ้าเป็นศิษย์สาขาหยินทนทรมาณ มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของสาขาระบำปีศาจเรา ข้าพูดกับศิษย์พี่มู่ ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องมาเอ่ยอะไร อีกอย่างถ้าพูดถึงสายสัมพันธ์ ศิษย์พี่มู่นับว่าเป็นพี่สะใภ้ของข้า ข้าเองก็เป็นห่วงในฐานะน้องชายของสามีนาง ก็เป็นเรื่องธรรมดา” ชายหนุ่มเสื้อขาวที่ชื่อโอวหยางซิน ยิ้มเยือกเย็นกล่าวออกมา

พอตู้ไห่ได้ยินคำพูดนี้ ก็โกรธจนศีรษะแทบระเบิด มือจับดาบยาวในฝักที่แบกอยู่ด้านหลังไว้มั่น

มู่อวิ๋นเซียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

ศิษย์น้องโอวหยาง ข้ากับศิษย์น้องมู่ร่วมมือกันไปทำภารกิจของนิกาย จำนวนคนก็ได้ครบแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องเพิ่มคน ศิษย์น้องก็ต้องไปรับมอบภารกิจที่นิกายก่อนถึงจะได้” ครั้งนี้ศิษย์พี่อูถอนหายใจ แล้วเหาะออกมากล่าวคลี่คลายกับโอวหยางซิน

“เฮ่อๆ ไม่เป็นไร เจ้าแต้มคุณูปการนั้นข้าเองก็ไม่ได้สนใจ เจ้าเด็กนั่นดูท่าเพิ่งจะเข้านิกายมาใหม่ๆ ใช่ไหม ตอนนี้นับว่าเจ้าได้เปรียบแล้วล่ะ เจ้ารีบกลับไป ข้าจะช่วยเจ้าทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จเอง พอถึงเวลาแต้มคุณูปการก็จะถูกแบ่งไปสะสมอยู่ในป้ายชื่อของเจ้า” โอวหยางซินหัวเราะ ชี้มือไปทางหลิ่วหมิง กล่าวออกมาด้วยความหยิ่งผยอง

พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ร่องหนังตาก็กระตุก ชายตามองไปยังสายตาวิงวอนของมู่อวิ๋นเซียน ที่ได้แต่แอบร้องโอดครวญอยู่ในใจไม่หยุด

ตู้ไห่ ศิษย์พี่อูและคนอื่นๆ ได้ยินดังนี้ ต่างก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันไป

หลิ่วหมิงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

ตนเองตอนนี้ต้องกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบไปด้วย

โอวหยางซินผู้นี้กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับมู่เซียนอวิ๋นและคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในนิกาย ถ้าหากตนเองไม่ตอบรับคำขอของฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าย่อมผิดใจกับคนผู้นี้ แต่ถ้าตอบรับไปล่ะก็ ก็เท่ากับว่าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับมู่เซียนอวิ๋นและคนอื่นๆ

โอวหยางซินเห็นสีหน้าลังเลของหลิ่วหมิง ก็ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง

“เจ้าเด็กน้อย ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดีกลับไม่ฟัง อย่าให้ข้าต้องบังคับนะ เจ้ากลับไปสอบถามดูก็ได้ว่าข้าโอวหยางซินเป็นใคร ข้าให้โอกาสแล้วเจ้าจะไม่รับใช่ไหม!”

หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็ตัดสินใจได้ภายในพริบตา แล้วกล่าวตอบกลับไปทันที

“ถึงแม้ข้าน้อยจะได้ยินชื่อของท่านเป็นครั้งแรก แต่ในนิกายของเราคงไม่มีชื่อของท่านอยู่ในรายนามอาจารย์จิตวิญญาณหรอกมัง ถ้าท่านคิดที่จะบัญชาการข้าน้อย รอท่านเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

“เจ้าพูดอะไร!” โอวหยางซินได้ยินก็โกรธเป็นอย่างมาก และขยับตัวพร้อมที่จะโจมตีเข้ามา

แต่ในเวลานั้นเองตู้ไห่ก็ขวางทางเขาไว้ และมือก็กดคมดาบของเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ดูเหมือนศิษย์น้องโอวหยางจะลืมกฎของนิกายเรา ศิษย์ที่ต่อสู้กันโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษสถานเบาคือโดนแส้ฟาด โทษสถานหนักคือทำลายพลังเวทย์ ต้องให้ข้าสอนเจ้าไหม”

ตอนนี้ศิษย์น้องเหมยก็ลอยเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วยืนอยู่ข้างๆ ตู้ไห่

“ดี ดีมาก ในเมื่อศิษย์พี่มู่ไม่ยอมให้ข้าเข้าร่วมด้วย ข้าก็จะไม่ฝืนใจแล้ว” โอวหยางซินกวาดสายตามองไปยังพวกเขาสักครู่ ก็เปลี่ยนใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับความโกรธไว้

พร้อมกับบังคับควบคุมเมฆลอยผ่านจากไป

แต่พอเขาลอยผ่านหลิ่วหมิง กลับใช้น้ำเสียงเบาๆ ในการขู่กรรโชกหลิ่วหมิง แต่ทุกคนก็ยังคงได้ยิน

“เจ้าเด็กน้อย ข้าจดจำท่าทีจองเจ้าไว้แล้ว ครั้งหน้าอย่าให้ข้าได้เจอหน้าเจ้าอีก”

คำพูดเพิ่งจะสิ้นสุดลง เขาก็เร่งความเร็วลอยก่างออกไปอย่างรวดเร็ว

คนอื่นได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน แต่หลิ่วหมิงแค่ขมวดคิ้ว เพียงครู่เดียวก็มีสีหน้าปกติราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

“ศิษย์น้องไป๋ ครั้งนี้ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ศิษย์พี่รู้สึกไม่สบายใจเลย” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋จะเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งและตรงไปตรงมาอย่างนี้ ศิษย์น้องมู่ดูคนไม่ผิดจริงๆ ต่อไปถ้ามีเวลาว่างก็ไปนั่งคุยเล่นกันได้นะ” ศิษย์พี่อูก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มนิดๆ

ถึงแม้ตู้ไห่และศิษย์น้องเหมยจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาอ่อนโยนที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านั้น ก็พอมองออกว่าพวกเรายอมรับหลิ่วหมิงแล้วจริงๆ

“ไม่เป็นไร พูดตามตรงนะ ได้ยินว่าสามารถได้รับแต้มคุณูปการได้โดยไม่ต้องลงมือเอง ศิษย์น้องเองก็ยอมรับว่ารู้สึกสนใจอยู่หน่อยหนึ่ง แต่คำพูดท้ายๆ ของเขามันดดูหยาบคายเกินไปหน่อย ถึงแม้ข้าไม่อยากผิดใจกับใคร แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาปั่นหัวเล่นได้” หลิ่วหมิงกล่าวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“พูดได้ดี พวกเราผู้ฝึกฝนเดิมทีก็ต้องรับมือกับปัญหา ถ้าแม้แต่กิเลสในใจก็ไม่สามารถระงับได้ ต่อให้มีคุณสมบัติดีปานใด ก็อย่าคิดที่จะพัฒนาไปได้ไกลเลย” ตู้ไห่พยักหน้ากล่าวเห็นด้วย

และในขณะเดียวกันนี้หลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงลอยเข้าหูตัวเองอีกครั้ง

“ศิษย์น้องไป๋ ครั้งนี้นับว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าแล้ว ต่อไปจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”

ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับชาวหนุ่มผู้ที่มีสีหน้าเย็นชา

ต่อมาทุกคนก็ขี่เมฆออกเดินทางกันต่อ

หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม สันเขาที่ทอดยาวเหยียดอยู่ด้านหน้า ก็ปรากฏยอดเขายักษ์ที่มีโขดหินอยู่กระจัดกระจายไปทั่ว

ยอดเขานี้ไม่เพียงแต่สูงพันกว่าจั้ง พื้นที่บนเขาแต่ละที่มีโขดหินสีเทาเขียวอยู่กระจัดกระจายไปทั่ว รูปร่างล้วนแปลกประหลาด ไม่เหมือนกับโขดหินทั่วไป

“นี่ก็คือเขาลูกข่างหิน ทุกคนลอยลงไปแถวนี้ จากนั้นค่อยเดินเข้าไป เพื่อหลีกเหลี่ยงการพบเจอกับผีเสื้อเมฆามืด” มู่อวิ๋นเซียนกล่าว

คนอื่นๆ เมื่อได้ยินดังนี้ ก็ย่อมไม่มีใครคัดค้าน ต่างก็ค่อยๆ ควบคุมเมฆเทาให้ลอยลงไปในป่าดงดิบที่อยู่ห่างกันลี้กว่าๆ

“ศิษย์พี่อู ขวดนี้คือผงล่อลวงจิตวิญญาณ อีกสักประเดี๋ยวเจ้ากับศิษย์น้องเหมยเดินนำไปก่อน แล้วหลอกล่อให้ผีเสื้อเมฆาดำออกจากเขา และหลอกล่อให้มันออกไปอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม เจ้าผลเส้นโลหิตนั้นชอบเติบโตในที่ลึกลับ ถ้าหากเวลาน้อยเกินไปจะไม่สามารถรวบรวมจำนวนได้มากพอ ศิษย์น้องไป๋นี่คือผลเส้นโลหิต เจ้าดูให้ดี พอเจ้าผีเสื้อเมฆามืดมันออกไป ข้า ศิษย์พี่ตู้ และเจ้าจะต้องใช้ระดับความเร็วที่เร็วที่สุด หาผลเส้นโลหิตให้เจอ แน่นอนว่าถ้าหากหาได้เกินก็จะยิ่งดี เจ้าผลนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการปรุงโอสถ ถ้าได้เกินมาสามารถนำมาขายแลกหินจิตวิญญาณได้” มู่อวิ๋นเซียนกำชับงานแต่ละอย่าง และสองมือก็พลิกขึ้นมา ผลกลมสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหนึ่งผล กับขวดเล็กๆ สีดำสนิทหนึ่งขวด

“วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้ากับศิษย์น้องเหมยต่างก็พกยันต์เทพเคลื่อนไหวมาคนละผืน ข้าสามารถหลอกล่อพวกมันได้ภายในเวลาครึ่งชั่วยามอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่อูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงจ้องมองผลสีแดงสักครู่ ก็พยักหน้าตอบรับ

ทั้งหมดปรึกษากันเสร็จแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติการทันที

ศิษย์พี่อูและศิษย์พี่เหมยทั้งสอง ต่างก็แยกย้ายกันขี่เมฆเหาะพุ่งตรงขึ้นไปยังยอดเขา

พอเห็นทั้งสองใกล้จะถึงยอดเขาแล้ว ศิษย์พี่อูที่อยู่ด้านหน้าก็ยกมือข้างหนึ่งเพื่อทำท่ามือทันที พอขวดสีดำสนิทโผล่ออกมา ก็ไม่รู้ว่าฝามันปลิวลอยไปตอนไหนแล้ว

เสียงดัง “ฟู่” ควันสีขาวจางๆ ลอยออกมาจากขวด จากนั้นก็กระจายหายไปตามลม

และในขณะเดียวกันนี้ ก็มีกลิ่นเผ็ดร้อนเป็นพิเศษลอยพริ้วตามลมไป

พริบตาเดียว ยอดเขาที่เดิมทีเงียบสงัด ก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นมา ผีเสื้อยักษ์สีดำขนาดเท่าฝ่ามือแต่ละตัวบินว่อนออกมาจากใต้หินแปลกประหลาด และครู่เดียวก็รวมตัวกันหลายเป็นก้อนเมฆดำลอยไปยังที่มั้งอยู่

ศิษย์พี่อูและศิษย์พี่เหมยเห็นดังนี้ ก็ไม่รีบร้อนที่จะไปจากยอดเขา แต่กลับนำยันต์ที่ประกายสว่างออกมาบนฝ่ามือมาคลุมตัวไว้ พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ก้อนเมฆสีเทาที่ขี่อยู่ก็เพิ่มความเร็วเป็นหลายเท่า และหลอกล่อให้ผีเสื้อเมฆามืดเหล่านี้บินวนรอบยอดเขายักษ์ และยิ่งหลอกหล่อให้ผีเสื้อเมฆามืดออกมามากขึ้นกว่าเดิม

แต่พอหลังจากที่ทั้งสองวนรอบเขาได้เจ็ดแปดรอบแล้ว ผีเสื้อที่ตามมาก็รวมตัวเป็นก้อนเดียวกัน กลายเป็นเมฆดำยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวห้าถึงหกจั้ง

ทำให้มันดูมีอานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ศิษย์พี่อูส่งสัญญาณมือ แล้วก็พุ่งลอยออกไปไกลจากยอดเขากับศิษย์พี่เหมยอย่างไม่ลังเล

“เอาล่ะ พวกเราลงมือกันได้แล้ว” พอเห็นกลุ่มผีเสื้อเมฆามืดโดยหลอกล่อออกไปแล้ว มู่เซียนอวิ๋นก็กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด

ดังนั้นเขา หลิ่วหมิง และตู้ไห่ ก็ขี่เมฆพุ่งขึ้นตรงไปยังยอดเขา

ชั่วครู่เดียว ทั้งสามก็แยกกันลงไปคนละที่ เริ่มต้นพลิกค้นหาผลเส้นโลหิตจากใต้หินแปลกประหลาดแต่ละก้อน

เวลาผ่านไป

มีเสียงดัง “เพล้ง” ลอยออกมา โซ่ตรวนสีดำพลิกก้อนหินแต่ละก่อนออกมา ทำให้ปรากฏเห็นต้นหญ้าเขียวขจีเล็กๆ ที่สูงหลายชุ่นสองต้น แต่ละต้นนั้นมีผลสีแดงเลือดออกอยู่หนึ่งผล

หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วก็ก้มลงไปเด็ดผลสีแดงทั้งสองผล แล้วล้วงเอาตลับไม้สีเขียวอันหนึ่งออกมาจากอก แล้วนำพวกมันใส่ไว้ในนั้น

เขายืดเอวบิดขี้เกียจ

ตอนนี้เขาหาผลเส้นโลหิตได้ได้ยี่สิบสี่ผลแล้ว คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงหาได้ไม่ต่างกันมากนัก

ดูท่าภารกิจนี้คงจะสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีปัญหา

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ภูเขาหินด้านล่างก็สั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตามด้วยการสั่นไหวที่รุนแรงดุเดือดดังมาจากใต้ยอดเขา ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก่อนหินแปลกประหลาดจำนวนมากกลิ้งหล่นลงมาจากยอดเขา

……………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา