หลิ่วหมิงคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ก็ตอบรับกลับไป
หลังจากที่หญิงนางนี้กำชับให้เขาไปหอดำเนินการเช้าๆ หน่อย เขาก็บอกลาทั้งสอง ขี่เมฆทะยานออกจากป่าไผ่ทันที
“ศิษย์น้องจู ก็แค่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่เพิ่งเข้านิกายคนหนึ่ง ทำไมถึงต้องดึงเข้ามาเป็นพวกด้วย ศิษย์ขั้นต่ำแบบนี้นิกายเรามีตั้งมากมาย ทั้งชีวิตคงบรรลุได้ถึงแค่ขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น” ตู้ไห่รอหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ก็เอ่ยปากกล่าวกับมู่เซียนอวิ๋นในที่สุด
“ศิษย์พี่ ท่านน่าจะรู้เรื่องการประลองเล็กของสาขาเก้าทารกที่เสร็จสิ้นไปเมื่อหลายวันก่อน” มู่เซียนอวิ๋นกลับตอบกลับพร้อมรอยยิ้มนิดๆ
“การประลองเล็กของสาขาเก้าทารก ข้าก็เคยได้ยินคนพูดถึงอยู่ครั้งหนึ่ง ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าเด็กนี่ทำได้ดีในการประลอง?” สีหน้าของตู้ไห่ค่อยๆ เปลี่ยน หลังจากที่พอจะเดาได้บางส่วน
“ไม่ผิด ในการประลองเล็กของสาขาเก้าทารก ศิษย์น้องไป๋ชงเทียนผู้นี้เป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับกลางถึงสูง” มู่เซียนอวิ๋นตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พูดแบบนี้ นับว่าเขาคงมีความสามารถพิเศษบางอย่าง” ตู้ไห่กล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“อืม ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นแบบนี้ ถึงแม้ข้าอยากจะหาพวก ก็คงไม่หาศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้านิกายมาร่วมภารกิจของเราในอีกสามวันถัดไปหรอก และภารกิจนี้ก็ไม่มีอันตรายอะไรมากมายเหมือนกับที่ข้าพูดไป เพียงแต่ยุ่งยากเสียเวลาหน่อยก็เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่าข้าพอมีสัมพันธ์บ้างเล็กน้อย ก็คงไม่ทราบอีกสามวันถัดไปจะมีการประกาศภารกิจนี้หรอก” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ภารกิจครั้งนี้ก็ถือว่าลงทุนกับเด็กคนนี้สักครั้งเถอะ หวังว่าคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ใช่สิ! ได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อนโอวหยางซินมากวนใจเจ้า” ตู้ไห่พยักหน้าแล้ว ทันใดนั้นก็กล่าวออกมาตาเป็นประกาย
“ไม่ผิด หลายวันก่อนข้าไปเก็บใยแมงมุมละลานตา คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับเจ้าเหยินนี่ แต่โชคดีที่ศิษย์พี่อูอยู่ข้างๆ ด้วย ทำให้เขาไม่กล้ากำเริบเสิบสานมากนัก” มู่อวิ๋นเซียนยิ้มขมขื่น แล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! เจ้าโอวหยางซินก็เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น แต่กลับพูดจาหยาบคาบใส่เจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์อาโอวหยาง ข้าจะทำให้มันสำนึกได้ตั้งนานแล้ว แต่อวิ๋นเออร์เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างมากก็แค่ครึ่งปีข้าก็จะบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว พอถึงเวลาข้าจะไปสู่ขอเจ้าอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงตอนนั้นอาจารย์อาโอวหยางก็คงจะไม่ขัดขวางแล้ว” สีหน้าเย็นชาของตู้ไห่กลายเป็นสีหน้าอ่อนโยนเมื่อพูดกับมู่อวิ๋นเซียน
“ศิษย์พี่ตู้ น้ำใจของเจ้าข้ารับไว้แล้ว ถึงแม้ในปีนั้นสามีในนามของข้าที่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็เสียชีวิตไปโดยไม่คาดคิดมาก่อน แต่ก็ได้ทำการผูกดวงวันเกิดกันแล้ว ตระกูลมู่ก็รับของหมั้นมาแล้ว ตอนนี้คิดที่จะแต่งกับคนอื่นล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ปีนั้นที่ข้าเข้ามาเป็นศิษย์จิตวิญญาณในนิกาย โอวหยางจุนก็ช่วยออกแรงไม่น้อย ศิษย์พี่ตู้ พวกเราคงความสัมพันธ์แบบนี้ไว้เถอะ มันดีที่สุดแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินดังนี้ ก็แสดงสีหน้าที่ดูซับซ้อน และตอบกลับด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
“ถ้าหากศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายยังไม่ได้ล่ะก็ งั้นการประลองใหญ่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้าจะแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าจะต้องแต่งเจ้าเป็นภรรยาให้จงได้” ตู้ไห่กลับแสยะยิ้ม กล่าวออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มู่เซียนอวิ๋นได้ฟังแล้ว ใบหน้างดงามก็แสดงความรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
……
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่บนพื้น กำลังพินิจดูขวดเล็กที่มียันต์สีแดงเลือดปิดผนึกอยู่ ในนั้นบรรจุวิญญาณชั้นต่ำที่เพิ่งซื้อมาหนึ่งตน
หลังจากที่เขานั่งท่องจำคาถาบทหนึ่งของโซ่ตรวนจิตวิญญาณแล้ว ก็กวักมือดึงดูดกะละมังไม้ด้านข้างที่เขาได้เตรียมไว้ล่วงหน้า ให้ค่อยๆ เข้ามาตรงด้านหน้าของเขา
ในกะละมังไม้นี้เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงดำมีกลิ่นคาว ทั้งยังมีสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายเส้นใยฝ้ายสีม่วงเข้มลอยอยู่
สิ่งของในกะละมังไม้นั้น คือโลหิตสุนัขดำและวัสดุเสริมอื่นๆ ที่เขาใช้หินจิตวิญญาณหนึ่งก้อนซื้อมาจากหอภารกิจนอก
หลิ่วหมิงคิดอยู่สักครู่ แล้วก็ดึงยันต์ที่ปิดผนึกอยู่บนขวดออก จากนั้นจึงเปิดฝามันออกมา
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น “อู้ อู้” ควันสีดำก็พุ่งออกมา และหมุนติ้วๆ อยู่ในอากาศ
สักครู่ก็กลายเป็นลูกกลมๆ มีแสงสีดำลอยอยู่กลางอากาศ มันไม่มีตา ไม่มีจมูก แค่ค่อยๆ สั่นอยู่กลางอากาศไม่หยุด
หลิ่วหมิงกลั้นลมหายใจไม่ขยับเขยื้อนใดๆ แต่ตาของเขาจ้องมองลูกกลมๆ ในอากาศไม่กะพริบ
ผ่านไปสักครู่ อยู่ๆ ก็มีเสียงแปลกประหลาดเรียกออกมาจากลูกกลมๆ สีดำ จากนั้นมันก็พุ่งลงมายังด้านล่าง
หลังจากมีเสียงดัง “ตูม!” วิญญาณตนนี้ก็มุดหายลงในของเหลวในกะละมังไม้
ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย เขาไม่ลังเลที่จะร่ายคาถาใส่สิ่งที่อยู่ในกะละมังไม้หลายๆ ครั้ง
ของเหลวสีแดงดำในกะละมังสั่นกระเพื่อม แล้วก็หมุนวนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันแอบอยู่ใต้กะละมังไม้เพื่อดื่มของเหลวเสร็จแล้ว ครู่เดียวมันก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามืออีกครั้งในทันที
เสียงดัง “ฟู่” “ฟู่” ฝ้ายสีม่วงเข้มที่อยู่ในของเหลวเหล่านั้น ก็พุ่งโจมตีออกมาราวกับมีชีวิต พริบตาเดียวก็เกาะตัวเป็นตาข่ายขนาดเล็กคลุมวิญญาณไว้
เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้ปรากฏออกมาแล้ว
วิญญาณที่ถูกคลุมไว้นี้ดูเหมือนว่าแค่ดึงใยฝ้าย ใยฝ้ายนี้ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย เสียงดัง “แคว๊กๆ” มันได้กลายเป็นควันสีดำเข้มข้นอีกครั้ง พยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากตาข่ายนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากตาข่ายใยฝ้ายสีม่วงเข้มนี้ได้
หลิ่วหมืงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งครั้งแล้วยื่นสองมือออกไปอย่างไม่ลังเล
ด้านบนมือทั้งสองทาด้วยน้ำมันใสๆ บางอย่างจนดูเงาวาว จากนั้นก็จุ่มลงไปในกะละมังไม้
คาถาแต่ละคำพร่างพรูออกมาจากปากของหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เลื่อมใส
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา