“ที่แท้นี่ก็คือความสำเร็จขั้นเล็กๆ ของการฝึกวิชา! ข้าว่าแล้ววันนั้นตอนฝึกฝนวิชาคมวายุนี้ ถึงได้รู้สึกปลอดโปร่ง ไม่เพียงแต่ความเร็วในการปล่อยอาวุธจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อานุภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า แต่ว่าการฝึกฝนวิชาเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยความตั้งใจในการฝึกฝน ถึงจะเกิดความชำนาญจนสามารถพลิกแพลงได้ แต่ในเมื่อประสบความสำเร็จขั้นต้นแล้ว ก็คงต้องมีความสำเร็จขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน และในกรณีนี้ ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณก็เกรงว่าคงเทียบเท่ากับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ โดยไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ แต่พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังของข้านั้นสามารถนำมาใช้หมุนเวียนกันฝึกวิชา นำมาใช้ในกรณีนี้กลับเป็นข้อได้เปรียบเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดกับตัวเอง สีหน้าแสดงความฉงนระคนดีใจ
ท่ามกลางบรรดาศิษย์เก่าในวันนี้ ถึงแม้จะมีคนฝึกวิชาจนถึงความสำเร็จขั้นต้นๆ แต่ก็มีไม่ถึงสิบคน ทั้งยังเป็นวิชาง่ายๆ อย่างวิชาคมวายุและกระสุนไฟเป็นต้น
วิชาที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาหน่อยอย่างวิชาแท่งวารี และวิชาไฟอสรพิษยังไม่เห็นมีใครฝึกฝนขั้นต้นได้สำเร็จ
คิดไปคิดมานี่ก็ไม่แปลก!
วิชาขั้นสูงทั้งหลายค่อนข้างมีความซับซ้อนในการใช้ ทั้งหมดล้วนต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าวิชาขั้นพื้นฐานมาก การฝึกฝนก็ทุกข์ยากลำบากกว่าเท่าตัว
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ ศิษย์ส่วนมากยังคงใช้เวลาหมดไปกับการฝึกฝนพลังและพลังเวทย์ มีน้อยมากที่จะเห็นความสำคัญกับการฝึกฝนตนเอง
การฝึกฝนเพื่อบรรลุถึงจะเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ถึงจะสามารถก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเหมือนนักปราชญ์กุยและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ และมีความไปเป็นไปได้ที่อายุขัยของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น
และสำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ถ้าหากไม่มีพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง เกรงว่าก็คงเลือกทำเหมือนกันกับพวกเขา แต่ในเมื่อตอนนี้รู้ว่าตนเองมีพรสวรรค์นี้ ก็ถือได้เปรียบกว่าพวกเขาเหล่านี้มาก ผู้ที่ตามหาพลังที่แท้จริงอย่างเขา ย่อมมีทางเลือกที่แตกต่างจากพวกเขาเหล่านั้น
วิชาขั้นสูงที่ซับซ้อนไม่อาจพูดได้ แต่อย่างน้อยวิชาง่ายๆ อย่างคมวายุนี้ เขาคิดไว้ว่าต่อไปจะหาเวลาฝึกฝนให้มากขึ้น เพื่อที่จะดูว่ามันจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรได้บ้าง
หลิ่วหมิงยืนคิดอยู่หน้าลานที่พักสักครู่ ในที่สุดก็เดินเข้าห้อง และนั่งขัดสมาธิลงไป
เขาลังเลเล็กน้อย หยิบไม้หอมสงบจิตออกมาจากแขนเสื้อ และจุดมันให้ติดโดยการเอานิ้วลูบ และเสียบไว้แถวนั้น
หลังจากที่ควันสีเขียวจากไม้หอมค่อยๆ ลอยออกมา กลิ่นหอมแปลกประหลาดก็ลอยฟุ้งเต็มห้องทันที
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง หลับตาเข้าสู่สมาธิ
ตอนนี้ในสมองของเขาได้ปรากฏอักขระคาถาสีเทาเป็นแถวๆ นั้นก็คือเคล็ดวิชาโซ่ตรวนวิญญาณ
คาถาที่บันทึกในคัมภีร์ ถึงแม้จะถูกส่งคืนหอเก็บคัมภีร์ไปแล้ว แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้นล้วนประทับอยู่ในสมองของเขาตั้งนานแล้ว
แต่ก่อนเขาทำความเข้าใจแบบรีบเร่งไปหน่อย แต่พอเห็นว่าเป็นเงื่อนไขการฝึกฝนของศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น ก็รีบละทิ้งโดยไม่ได้ศึกษาต่อ
ตอนนี้มีไม้หอมสงบจิตคอยช่วย เขากะว่าจะทำความเข้าใจวิชานี้ให้บรรลุในทีเดียว
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่ในห้องติดต่อกันห้าวันห้าคืน โดยไม่ก้าวเท้าออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
พอเช้าวันที่หก ในที่สุดเขาก็ลืมตาทั้งสองข้าง แต่สีหน้ากลับดูอ่อนล้า
“ที่แท้การจะฝึกฝนวิชาโซ่ตรวนจิตวิญญาณให้สำเร็จนี้ จำเป็นต้องใช้วิญญาณที่ยังไม่แตกดับ มาเซ่นไหว้ถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในนิกายเรามี ‘บ่อวิญญาณ’ ซึ่งเป็นสถานที่เลี้ยงวิญญาณ แค่ต้องจ่ายเป็นแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเข้าไปจับวิญญาณได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ในนิกายยังมี ‘ตลาดสีเทา’ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ในนิกายทำการค้าขายสิ่งของต่างๆ ไม่แน่อาจจะมีคนขายวิญญาณก็ได้ ตอนนี้ในตัวไม่มีแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว ย่อมต้องเลือกวิธีสุดท้ายเป็นธรรมดา”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ก็ตัดสินใจได้ แต่ว่าก่อนที่จะไปทำเรื่องนี้ ต้องนอนหลับพักผ่อนเสียก่อน
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะออกจากที่พักอย่างรีบร้อน
เขาไปตามแผนที่ที่หลี่จงให้ไว้ในครั้งนั้น แล้วเหาะไปยังจุดหมาย
ขอบเขตบริเวณรอบๆ ของแต่ละสาขาในนิกายปีศาจ มีป่าไผ่เล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาผืนหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสูงสองยอดพอดี
มีศิษย์สายในบางส่วน ร่อนลงไปยังกลางลานตรงป่าไผ่อยู่ตลอด
หลิวหมิงเร่งรัดให้เมฆเทาร่อนลงไปในป่าไผ่แล้ว เขาใช้สายตามองไปรอบด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
รอบด้านโล่งๆ นี้ มีแผงตั้งหยาบๆ ขนาดต่างๆ ด้านหลังแผงแต่ละแผงมีศิษย์นิกายปีศาจนั่งอยู่ กว่าครึ่งหนึ่งเป็นศิษย์สายใน แต่ก็มีศิษย์สายนอกอยู่บางส่วน
ยิ่งไปกว่านั้นมีคนจำนวนหนึ่ง เดินเข้าไปยังแผงตั้งของเหล่านี้หยิบสิ่งของต่างๆ ขึ้นมาดู หรือบ้างก็กำลังต่อรองราคากับเจ้าของแผงอยู่ ทำให้หลิ่วหมิงมโนถึงภาพตลาดบางแห่งในโลกมนุษย์
หลิ่วหมิวระงับสติอารมณ์แล้ว ก็เดินไปยังแผงแต่ละแผงเหมือนกับคนอื่นๆ และหยิบของบางอย่างขึ้นมาดูเป็นครั้งคราว
แผงตั้งขายของเหล่านี้มีตั้งแต่โอสถ ยันต์ จนถึงวัสดุเครื่องมืออาญาสิทธิ์ต่างๆ นับว่ามีมากมายหลายอย่างเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีสิ่งของแปลกประหลาดบางอย่างที่ไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินชื่อมาก่อน เช่น ‘เลือดศพผึ้งสังหาร’ ‘ขนอีแร้งกินศพ’ ‘โลหิตปีศาจปลาร้อยปี’ เป็นต้น
และสำหรับวิญญาณที่เขาตามหา ถือเป็นเป็นสิ่งที่ใช้โดยทั่วไป เขาสามารถถามหาได้ตามแผงต่างๆ แต่พอถามราคาแล้วถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา