อ่านสรุป ตอนที่ 34 ตลาดสีเทา จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 34 ตลาดสีเทา คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
“ที่แท้นี่ก็คือความสำเร็จขั้นเล็กๆ ของการฝึกวิชา! ข้าว่าแล้ววันนั้นตอนฝึกฝนวิชาคมวายุนี้ ถึงได้รู้สึกปลอดโปร่ง ไม่เพียงแต่ความเร็วในการปล่อยอาวุธจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อานุภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า แต่ว่าการฝึกฝนวิชาเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยความตั้งใจในการฝึกฝน ถึงจะเกิดความชำนาญจนสามารถพลิกแพลงได้ แต่ในเมื่อประสบความสำเร็จขั้นต้นแล้ว ก็คงต้องมีความสำเร็จขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน และในกรณีนี้ ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณก็เกรงว่าคงเทียบเท่ากับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ โดยไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ แต่พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังของข้านั้นสามารถนำมาใช้หมุนเวียนกันฝึกวิชา นำมาใช้ในกรณีนี้กลับเป็นข้อได้เปรียบเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดกับตัวเอง สีหน้าแสดงความฉงนระคนดีใจ
ท่ามกลางบรรดาศิษย์เก่าในวันนี้ ถึงแม้จะมีคนฝึกวิชาจนถึงความสำเร็จขั้นต้นๆ แต่ก็มีไม่ถึงสิบคน ทั้งยังเป็นวิชาง่ายๆ อย่างวิชาคมวายุและกระสุนไฟเป็นต้น
วิชาที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาหน่อยอย่างวิชาแท่งวารี และวิชาไฟอสรพิษยังไม่เห็นมีใครฝึกฝนขั้นต้นได้สำเร็จ
คิดไปคิดมานี่ก็ไม่แปลก!
วิชาขั้นสูงทั้งหลายค่อนข้างมีความซับซ้อนในการใช้ ทั้งหมดล้วนต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าวิชาขั้นพื้นฐานมาก การฝึกฝนก็ทุกข์ยากลำบากกว่าเท่าตัว
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ ศิษย์ส่วนมากยังคงใช้เวลาหมดไปกับการฝึกฝนพลังและพลังเวทย์ มีน้อยมากที่จะเห็นความสำคัญกับการฝึกฝนตนเอง
การฝึกฝนเพื่อบรรลุถึงจะเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ถึงจะสามารถก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเหมือนนักปราชญ์กุยและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ และมีความไปเป็นไปได้ที่อายุขัยของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น
และสำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ถ้าหากไม่มีพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง เกรงว่าก็คงเลือกทำเหมือนกันกับพวกเขา แต่ในเมื่อตอนนี้รู้ว่าตนเองมีพรสวรรค์นี้ ก็ถือได้เปรียบกว่าพวกเขาเหล่านี้มาก ผู้ที่ตามหาพลังที่แท้จริงอย่างเขา ย่อมมีทางเลือกที่แตกต่างจากพวกเขาเหล่านั้น
วิชาขั้นสูงที่ซับซ้อนไม่อาจพูดได้ แต่อย่างน้อยวิชาง่ายๆ อย่างคมวายุนี้ เขาคิดไว้ว่าต่อไปจะหาเวลาฝึกฝนให้มากขึ้น เพื่อที่จะดูว่ามันจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรได้บ้าง
หลิ่วหมิงยืนคิดอยู่หน้าลานที่พักสักครู่ ในที่สุดก็เดินเข้าห้อง และนั่งขัดสมาธิลงไป
เขาลังเลเล็กน้อย หยิบไม้หอมสงบจิตออกมาจากแขนเสื้อ และจุดมันให้ติดโดยการเอานิ้วลูบ และเสียบไว้แถวนั้น
หลังจากที่ควันสีเขียวจากไม้หอมค่อยๆ ลอยออกมา กลิ่นหอมแปลกประหลาดก็ลอยฟุ้งเต็มห้องทันที
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง หลับตาเข้าสู่สมาธิ
ตอนนี้ในสมองของเขาได้ปรากฏอักขระคาถาสีเทาเป็นแถวๆ นั้นก็คือเคล็ดวิชาโซ่ตรวนวิญญาณ
คาถาที่บันทึกในคัมภีร์ ถึงแม้จะถูกส่งคืนหอเก็บคัมภีร์ไปแล้ว แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้นล้วนประทับอยู่ในสมองของเขาตั้งนานแล้ว
แต่ก่อนเขาทำความเข้าใจแบบรีบเร่งไปหน่อย แต่พอเห็นว่าเป็นเงื่อนไขการฝึกฝนของศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น ก็รีบละทิ้งโดยไม่ได้ศึกษาต่อ
ตอนนี้มีไม้หอมสงบจิตคอยช่วย เขากะว่าจะทำความเข้าใจวิชานี้ให้บรรลุในทีเดียว
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่ในห้องติดต่อกันห้าวันห้าคืน โดยไม่ก้าวเท้าออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
พอเช้าวันที่หก ในที่สุดเขาก็ลืมตาทั้งสองข้าง แต่สีหน้ากลับดูอ่อนล้า
“ที่แท้การจะฝึกฝนวิชาโซ่ตรวนจิตวิญญาณให้สำเร็จนี้ จำเป็นต้องใช้วิญญาณที่ยังไม่แตกดับ มาเซ่นไหว้ถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในนิกายเรามี ‘บ่อวิญญาณ’ ซึ่งเป็นสถานที่เลี้ยงวิญญาณ แค่ต้องจ่ายเป็นแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเข้าไปจับวิญญาณได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ในนิกายยังมี ‘ตลาดสีเทา’ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ในนิกายทำการค้าขายสิ่งของต่างๆ ไม่แน่อาจจะมีคนขายวิญญาณก็ได้ ตอนนี้ในตัวไม่มีแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว ย่อมต้องเลือกวิธีสุดท้ายเป็นธรรมดา”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ก็ตัดสินใจได้ แต่ว่าก่อนที่จะไปทำเรื่องนี้ ต้องนอนหลับพักผ่อนเสียก่อน
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะออกจากที่พักอย่างรีบร้อน
เขาไปตามแผนที่ที่หลี่จงให้ไว้ในครั้งนั้น แล้วเหาะไปยังจุดหมาย
ขอบเขตบริเวณรอบๆ ของแต่ละสาขาในนิกายปีศาจ มีป่าไผ่เล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาผืนหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสูงสองยอดพอดี
มีศิษย์สายในบางส่วน ร่อนลงไปยังกลางลานตรงป่าไผ่อยู่ตลอด
หลิวหมิงเร่งรัดให้เมฆเทาร่อนลงไปในป่าไผ่แล้ว เขาใช้สายตามองไปรอบด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
รอบด้านโล่งๆ นี้ มีแผงตั้งหยาบๆ ขนาดต่างๆ ด้านหลังแผงแต่ละแผงมีศิษย์นิกายปีศาจนั่งอยู่ กว่าครึ่งหนึ่งเป็นศิษย์สายใน แต่ก็มีศิษย์สายนอกอยู่บางส่วน
ยิ่งไปกว่านั้นมีคนจำนวนหนึ่ง เดินเข้าไปยังแผงตั้งของเหล่านี้หยิบสิ่งของต่างๆ ขึ้นมาดู หรือบ้างก็กำลังต่อรองราคากับเจ้าของแผงอยู่ ทำให้หลิ่วหมิงมโนถึงภาพตลาดบางแห่งในโลกมนุษย์
หลิ่วหมิวระงับสติอารมณ์แล้ว ก็เดินไปยังแผงแต่ละแผงเหมือนกับคนอื่นๆ และหยิบของบางอย่างขึ้นมาดูเป็นครั้งคราว
แผงตั้งขายของเหล่านี้มีตั้งแต่โอสถ ยันต์ จนถึงวัสดุเครื่องมืออาญาสิทธิ์ต่างๆ นับว่ามีมากมายหลายอย่างเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีสิ่งของแปลกประหลาดบางอย่างที่ไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินชื่อมาก่อน เช่น ‘เลือดศพผึ้งสังหาร’ ‘ขนอีแร้งกินศพ’ ‘โลหิตปีศาจปลาร้อยปี’ เป็นต้น
และสำหรับวิญญาณที่เขาตามหา ถือเป็นเป็นสิ่งที่ใช้โดยทั่วไป เขาสามารถถามหาได้ตามแผงต่างๆ แต่พอถามราคาแล้วถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“ศิษย์น้องไป๋ ตอนนั้นเจ้าเคยรับปากข้าว่าจะไปนั่งพูดคุยกับข้า แต่นี่ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ข้ายังไม่เห็นเจ้าเลย” มู่เซียนอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ…ศิษย์พี่มู่ ขอท่านอย่าได้ถือสา ศิษย์น้องและศิษย์คนอื่นๆ เข้านิกายมาแล้วก็ถูกสั่งการให้ฝึกฝนอยู่ในเขา ไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนเลย ศิษย์พี่ท่านนี้คือ…” หลิ่วหมิงตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไม่กี่ประโยค แล้วก็มองไปยังชายหนุ่มสีหน้าเย็นชา
“ตู้ไห่ จากสาขาหยินทนทรมาณ” ชายหนุ่มตอบกลับสั้นๆ สีหน้าไร้ความรู้สึก
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่จากสาขาหยินโลกันตร์นี่เอง” หลิ่วหมิงได้ยินแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ในบรรดาสาขาทั้งหลายของนิกายปีศาจ สาขาหยินทนทรมาณ เป็นสาขาที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสามของนิกาย และความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ของทั้งสองนิกายก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
“ศิษย์น้องไป๋ไม่ต้องกังวลไป ศิษย์พี่ตู้เป็นเพื่อนที่ข้ารู้จักมานาน ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาไม่ได้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเรา ใช่สิ! ครั้งนี้ศิษย์น้องไป๋มาตลาดสีเทาเพื่อซื้ออะไร ที่นี่ข้าเองก็พอมีเพื่อนที่รู้จัก ไม่แน่อาจจะช่วยอะไรศิษย์น้องได้บ้าง” มู่อวิ๋นเซียนอธิบายไปสองสามประโยค แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณในน้ำใจของศิษย์พี่ แต่ว่าของนั้นข้าหาซื้อได้แล้ว ไม่รบกวนศิษย์พี่แล้วล่ะ” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่บังคับแล้วล่ะ ใช่สิ! ช่วงนี้ศิษย์น้องอยากได้แต้มคุณูปการไหม?” มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบทำสีหน้าปกติแล้วถามออกไป
“แต้มคุณูปการ?” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ใจของเขาก็ค่อยๆ เต้นขึ้นมา
“ไม่ผิด ช่วงนี้ข้า ศิษย์พี่ตู้ และเพื่อนอีกหลายๆ คนเตรียมรับภารกิจสำคัญ แต่ยังขาดคนร่วมอีกสองคน ถ้าหากว่าศิษย์น้องสนใจล่ะก็ จะมาเข้าร่วมกับเราก็ได้นะ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“ในเมื่อเป็นภารกิจสำคัญ ศิษย์น้องเพิ่งจะเข้านิกายมาไม่นาน เกรงว่าพอถึงเวลาจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย อีกอย่างถ้าได้แต้มคุณูปการมาจะแบ่งกันอย่างไรล่ะ” หลิ่วหมิงตาเป็นประกายชั่วครู่ แล้วค่อยๆ ตอบกลับไป
“ศิษย์น้องวางใจเถอะ ภารกิจครั้งนี้พิเศษมาก ที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีการฝึกฝนมาก แค่ต้องการคนเพิ่มอีกสองสามคนถึงจะทำภารกิจได้สำเร็จ สำหรับแต้มคุณูปการน่ะเหรอ ในเมื่อเป็นภารกิจที่รับด้วยกัน แน่นอนว่าย่อมแบ่งให้เท่าๆ กัน” เมื่อเห็นว่าหลิ่วหมิงให้ความสนใจ หญิงสาวก็อธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
“ได้ ในเมื่อไม่มีอันตราย ทั้งยังไม่ต้องการผู้ฝึกฝนขั้นสูง งั้นให้ศิษย์น้องเข้าร่วมด้วยคนเถอะ” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูสักครู่ รู้สึกว่ากำลังอยากรู้ว่าภารกิจแต้มคุณูปการนั้น จะมีรูปแบบเป็นอย่างไรอยู่พอดี แล้วเขาก็พยักหน้าตอบรับกลับไป
“ศิษย์น้องตัดสินใจแบบนี้นับว่าฉลาดมาก ภารกิจที่มีคนมากแบบนี้เหมาะสมกับศิษย์ใหม่อย่างศิษย์น้องที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นสามวันถัดไป ศิษย์น้องก็ไปที่ชั้นสองของหอดำเนินการ พวกเราแต่ละคนจะไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อรับภารกิจนี้” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินดังนั้น ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเพริศพริ้ง
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา