ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 33

สรุปบท ตอนที่ 33 โล่สามดาว: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 33 โล่สามดาว จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 33 โล่สามดาว คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

“ร่างจิตวิญญาณแฝงคงจะไม่ใช่ มิเช่นนั้นในระหว่างขั้นตอนเปิดจิตวิญญาณคงจะเปิดเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าข้าได้ยินสือชวนบอกว่า ศิษย์ผู้นี้มีพลังจิตที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้นศิษย์พี่หร่วนที่ดูแลหอเก็บคัมภีร์ถึงได้ให้เขาเลือกวิชาจิตวิญญาณปีศาจ และพลังจิตแข็งแกร่งสามารถฝึกฝนวิชาจิตวิญญาณปีศาจค่อนข้างได้ผล บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาฝึกฝนขั้นแรกได้สำเร็จรวดเร็วปานนี้” กุยหรูฉวนกล่าวออกมาช้าๆ

“พลังจิตแข็งแกร่ง! ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ก็พอเข้าใจ แต่ว่าวิชาที่เขาจะฝึกในอนาคตค่อนข้างจะลำบากสักหน่อยแล้ว หรือว่าเขาคิดที่จะเดินในเส้นทางของสาขาฝึกศพจริงๆ?” นักพรตขมวดคิ้วกล่าว

“ในเมื่อเขาเลือกเช่นนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาเป็นธรรมดา แต่ข้าเห็นว่าเจ้าเด็กไป๋ชงเทียนนี่ ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่มีการวางแผนที่ดีในการต่อสู้ ลักษณะท่าทางดูค่อนข้างชำนาญในการต่อสู้ คงจะมีจุดมุ่งหมายของตนเอง เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราก็ไม่ต้องไปดูแลเขามาก แต่ช่วยเพิ่มทรัพยากรให้เขาสักหน่อย ไม่แน่อาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นโดยที่เราคาดไม่ถึงก็ได้” จูชื่อลังเลสักครู่แล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องจูกล่าวได้มีเหตุผล” นักปราชญ์กุยเห็นด้วย

“อย่างนั้นก็ดี อีกสักประเดี๋ยวข้าคงต้องสัมผัสกับศิษย์คนนี้สักหน่อยละ”

นักพรตหญิงคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

ทั้งสามปรึกษาหารือกันอีกสองสามประโยค แล้วนักพรตหญิงก็เดินออกไปเริ่มกำกับการประลองเล็กของศิษย์อายุต่ำกว่าสามสิบปี

……

หลังจากผ่านไปห้าชั่วยาม หลิ่วหมิงจ้องมองการทดสอบต่อสู้จริงที่น่าตื่นตะลึงตรงกลางลาน โดยไม่กะพริบตา

ศิษย์อายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง หลบอยู่ด้านหลังของโล่น้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะเดียวกันมือทั้งสองก็ทำท่ามือร่ายคาถาไม่หยุด

ห่างจากด้านหน้าเขาไปไม่ไกล สิ่งที่ดูมีชีวิตขนาดใหญ่สองตัวกำลังโจมตีกันอย่างบ้าระห่ำ

หนึ่งในนั้นคือหุ่นนักรบยักษ์สูงสามจั้งที่ถือดาบอยู่ อีกตัวคือโครงกระดูกสีขาวที่มีควันสีดำเข้มหมุนรอบตัว ตาทั้งสองเปล่งแสงประกายสีเขียว มือทั้งสองต่างก็ถือดาบฟันเลื่อยข้างละเล่ม

ทั้งสองตัวนี้ต่างก็เอาแต่กวัดแกว่งอาวุธในมือโจมตีฝั่งตรงข้ามราวกับพายุที่บ้าระห่ำ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย

ครู่เดียว ชุดเกราะสีดำที่หุ่นนักรบนั้นสวมอยู่ก็แตกชำรุดบุบสลาย

ลำตัวของโครงกระดูกขาวกว่าครึ่งหนึ่งแตกละเอียด แม้กระทั่งกะโหลกศีรษะครึ่งหนึ่งก็ถูกดาบของหุ่นนักรบยักษ์ฟันหลุดไป

แต่ในตอนนี้ ศิษย์วัยกลางคนที่หลบอยู่หลังโล่น้ำแข็ง กลับใช้นิ้วชี้ผ่านอากาศไปยังโครงกระดูกที่อยู่ไกลออกไป ในขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถาไม่หยุด

ฉากอันน่าตื่นตะลึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว!!!!!

ควันสีดำรอบๆ โครงกระดูกขาวลอยโขมงขึ้นฉับพลัน รอยกระดูกที่แตกร้าวกับกระโหลกศีรษะข้างหนึ่งที่ถูกฟันหลุดไปก็ถูกซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว โดยที่ตาเนื้อสามารถสังเกตเห็นได้ เพียงครู่เดียวโครงกระดูกก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมทุกประการ

“เพล้ง” “เพล้ง”

ดาบเลื่อยกระดูกในมือทั้งสองตวัดกวัดแกว่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ฟันชุดเกราะเหล็กที่หุ่นนักรบนั้นสวมอยู่แตกละเอียด หน้าอกที่มีหินจิตวิญญาณติดอยู่ก็โผล่ออกมา

ดาบฟันเลื่อยโจมตีอีกครั้ง และตีหินจิตวิญญาณจนแตกละเอียด

หุ่นนักรบล้มลงไปบนพื้นทันที และมันไม่สามารถขยับตัวลุกขึ้นได้อีก

ศิษย์วัยกลางคนโบกมือข้างหนึ่ง ทำให้โล่น้ำแข็งหายไป เขากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ

โครงกระดูกขาวหมุนติ้วๆ ในทันที จากนั้นก็ย่อตัวให้เล็กลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่าฝ่ามือและถูกควันสีดำห่อคลุมลอยกลับมายังศิษย์วัยกลางคน

“จุ๊ๆ ปีศาจกระดูกขาวของศิษย์พี่ซิ่งมีความร้ายกาจมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ ‘ขั้นร้อยกระดูก’ แล้ว แม้แต่หุ่นนักรบก็ไม่สามารถยืนหยัดรับมือได้”

“ปีนั้นศิษย์พี่ซิ่งเองก็โชคดี ได้รับหินทะลวงจิตวิญญาณกระดูกหยินมาก้อนหนึ่ง แล้วสร้างมันให้เป็นปีศาจตนนี้ ถ้าข้าโชคดีแบบนี้บ้างก็น่าจะดี”

“นี่มันจะมีประโยชน์อันใด เจ้าปีศาจกระดูกขาวตนนี้ถึงแม้จะเก่งกาจสักแค่ไหน แต่การฝึกฝนของศิษย์พี่ซิ่งก็ยังคงติดอยู่ที่ขั้นปลายของศิษย์จิตวิญญาณ ไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ อายุก็เลยสามสิบแล้ว ยังเป็นเหมือนพวกเราที่มีความหวังเหลืออยู่ไม่มากในการจะสำเร็จเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ

“ใช่สิ ก็เป็นเพราะว่าแต่ก่อนศิษย์พี่ซิ่งเอาแต่สร้างและฝึกเจ้าปีศาจกระดูกขาวนี้มากเกิน ถึงไม่มีเวลาในการฝึกฝนตัวเอง อีกทั้งถ้าจะต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ แค่คิดหาวิธีในการปิดล้อมปีศาจตนนี้ แล้วค่อยไปจัดการกับนายมัน แค่นี้ก็สามารถเอาชนะได้แล้ว ศิษย์พี่ซิ่งค่อนข้างเปราะบางไปหน่อย การประลองใหญ่คราวหน้าก็ไม่สามารถกลายเป็นศิษย์แกนนำได้”

“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดสื่อสารจิตวิญญาณเมื่อผสานกับปีศาจกระดูกขาวแล้ว จะมีผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ พวกเราไม่สู้ก็ไปฝึกฝนเคล็ดวิชานี้บ้าง”

“ช่างมันเถอะ วิชาพื้นฐานของนิกายเรากับเคล็ดสื่อจิตวิญญาณไม่ค่อยเหมาะสมกันสักเท่าไหร่ ปีนั้นศิษย์พี่ซิ่งเลือกฝึกฝนวิชาหยินลี้ลับไปตอนนี้ถึงได้มาเลือกฝึกวิชานี้”

ศิษย์นอกลานกว้างคนอื่นๆ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันถึงการต่อสู้ในครั้งนี้ ต่างก็มีท่าทีที่ชื่นชมและไม่ชื่นชม

“นี่ก็คือเคล็ดสื่อสารจิตวิญญาณ มันสามารถควบคุมปีศาจได้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ” หลิ่วหมิงพูกล่าวพึมพำออกมา

ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินมานานก่อนหน้านั้นแล้วว่า นิกายปีศาจสามารถเรียกและควบคุมภูติผีปีศาจได้ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นต่อหน้าต่อตาตนเอง ใจเขารู้สึกหวั่นไหวอยากจะรู้เกี่ยวกับมันแล้ว

ไม่เพียงแค่เขาคนเดียว ศิษย์ใหม่คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองด้วยความตะลึง แม้แต่เซียวเฟิงที่เห็นปีศาจกระดูกขาวปรากฏออกมา ตาทั้งคู่ของเขาก็จ้องอยู่ตรงนั้นตลอด

นี่มันไม่เหมือนกันกับวิชาคมวายุและวิชาทั่วไปอื่นๆ เรื่องราวเกี่ยวกับภูติ ผี ปีศาจล้วนเป็นเรื่องลึกลับมากสำหรับโลกมนุษย์

ถึงแม้ว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็เตรียมรับมือไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง สิ่งต่างๆ ที่เห็นมันเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มากทีเดียว

แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเฝ้ารอคอยถึงเคล็ดสื่อสารจิตวิญญาณที่ตนเองจะต้องฝึกฝนในอนาคตขึ้นมา

“ขอบคุณอาจารย์ป้าที่เมตตา อาวุธอาญาสิทธิ์นี้คือ……” หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ ก็มองด้วยความดีใจ

“โล่สามดาวนี้ไม่เหมือนกันอาวุธอาญาสิทธิ์อื่นๆ ไม่สามารถโจมตีทำร้ายคนได้ แค่ใช้ป้องกันตัวเท่านั้น รอเจ้าสามารถควบคุมมันได้ ก็จะรู้เองว่าจะใช้มันอย่างไร” นักพรตหญิงกล่างอย่างไม่รีบร้อน และยื่นแผ่นเหล็กออกไป

หลิ่วหมิงรับแผ่นเหล็กมาแล้ว ก็กล่าวขอบคุณนักพรตหญิง

“ไปเถอะ ข้าค่อนข้างจะคาดหวังในตัวเจ้ามาก อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ” นักพรตหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วก็หมุนตัวจากไป

หลิ่วหมิงคารวะอีกรอบ แล้วถอยไปสองสามก้าวก่อนขี่เมฆเหาะขึ้นไป

ตอนอยู่บนเมฆ หลิ่วหมิงมองไปทางลานกว้าง เห็นเซียวเฟิงและอวี๋เฉิงยังไม่ได้ไปจากลาน ทั้งสองกำลังยืนอยู่ข้างๆ กุยหรูฉวนและจูชื่อ ต่างก็ยืนฟังคำชี้แนะอะไรบางอย่างอยู่ ด้วยสีหน้าที่สุภาพ

ดูเหมือนว่าการประลองเล็กครั้งนี้เขาได้แสดงออกถึงผลลัพธ์ของการฝึกฝนบางอย่าง นับว่าเขาทำถูกแล้ว

ไม่อย่างนั้นคนที่ถูกเรียกให้อยู่ต่ออาจไม่ใช่เขา ทั้งยังได้เครื่องมืออาญาสิทธิ์มาหนึ่งชิ้นโดยไม่คาดคิด

หลิ่วหมิงลูบแผ่นเหล็กสามเหลี่ยมในแขนเสื้อ แสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้

ถ้าไม่นับคมวายุนั้น เขาคิดที่จะหาโอกาสใช้อาวุธอาญาสิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกชิ้นแล้ว

สำหรับศิษย์โดยทั่วไปแล้ว การควบคุมอาวุธอาญาสิทธิ์สองชิ้นอาจจะเป็นแค่เรื่องฝันกลางวัน แต่สำหรับคนที่มีหนึ่งจิตสองพลังอย่างเขาแล้ว กลับเป็นเรื่องที่ง่ายเพราะเขามีคุณสมบัติพร้อม

เขามีอาวุธอาญาสิทธิ์สองชิ้นแล้ว ก็เท่ากับว่าเขามีความสามารถไปรับภารกิจแต้มคุณูปการง่ายๆ ตามที่อาจารย์ป้าจงกล่าวไว้ได้แล้ว

ในเมื่อระหว่างขั้นตอนการฝึกฝนก็มักจะพบปัญหาอยู่ตลอด เพราะว่าเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ไม่สามารถไปสอบถามกับสือชวนหรือศิษย์อื่นๆ ในสาขาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้แต้มคุณูปการไปขอคำตอบจากหอปัญญาสวรรค์ ย่อมเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

แต่ว่าก่อนที่จะทำเช่นนั้น เขาจะต้องฝึกเคล็ดวิชาโซ่ตรวนวิญญาณให้มั่นคงเสียก่อน

หลิ่วหมิงไตร่ตรองไปเรื่อยๆ จนเหาะมาถึงด้านบนของที่พักโดยไม่รู้ตัว และเขาเหาะลงไปยังลานเล็กๆ หน้าที่พัก

เขาเหลือบสายตาไปเห็นต้นไม้เล็กสูงสองจั้งข้างลานที่พัก เขายิ้มออกมา และเริ่มร่ายคาถา ภายในเวลาเจ็ดแปดลมหายใจ แล้วยกมือทั้งสองขึ้นมา

เสียงดัง “ฉับ” “ฉับ” คมวายุสองเส้นพุ่งออกจากมือเขาไปยังต้นไม้นั้น พริบตาเดียวต้นไม้นั้นก็ถูกหั่นออกเป็นสามส่วนทันที

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา