“จะเป็นแบบที่เราคิดหรือไม่นั้น ก็ต้องรอดูผลการทดสอบของเขาแล้ว” จูชื่อกล่าวออกมาเหมือนกับคิดอะไรอยู่ในใจ
และในตอนนี้ หลิ่วหมิงที่อยู่ไกลออกไปได้ส่งเสียงคำรามออกมา สองแขนยกท่อนเหล็กขึ้นมาเหนือศีรษะได้ในทันใด และวางมันลงราวกับว่ามันเบามาก
หลิ่วหมิงทำออกมาได้แบบนี้ ทำให้ศิษย์ที่อยู่รอบลานกว้างต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าได้สำเร็จขั้นแรกของวิชาพื้นฐานแล้ว ยกท่อนเหล็กที่เบาที่สุดขึ้นมาได้นั้นไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางที่ยกขึ้นมาราวกับว่ามันเบามากนั้น กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากนัก
มีศิษย์บางคนรู้สึกแปลกใจ จนกระทั่งอยากรู้ว่าศิษย์ใหม่ผู้นี้จะสามารถยกท่อนที่สองขึ้นมาได้หรือไม่
แต่หลิ่วหมิงหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งเฮือกสองแขนก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แล้วเดินตรงไปยังทางฝั่งป้ายหิน
เสียงร่ายคาถาดังขึ้น คมวายุสีเขียวเส้นหนึ่งเปล่งประกายพุ่งออกมา ตรงไปประทับร่องรอยสีขาวจางไว้บนป้ายหิน เขาแสดงออกมาได้พอๆ กับเด็กหนุ่มผมแดง
ทำให้จูชื่อ นักพรตหญิงและคนอื่นๆ ที่รอดูอยู่รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
“การทดสอบทั้งสองครั้งนี้ ครั้งแรกอยู่ในระดับกลางถึงสูง และครั้งที่สองอยู่ในระดับกลาง” นักปราชญ์กุยคิดใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วประกาศผลออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินแล้วก็มองไปยังหุ่นนักรบตัวที่อยู่ใจกลางวงกลมนั้น ใช้มือลูบห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่อยู่ตรงข้อมืออีกข้าง แล้วเดินเข้าไปโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
วินาทีที่เท้าของเขาเหยียบเข้าไปในวงกลมนั้น หุ่นนักรบตัวนั้นก็รีบพุ่งเข้าหาเขาอย่างดุเดือด
แต่เขาได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เท้าทั้งคู่ของเขาค่อยๆ ขยับก็สามารถหลบหลีกการโจมตีของหุ่นตัวนั้นได้ ขณะเดียวกันก็สะบัดห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือ ปากเอ่ยคำว่า “วิชาตัวเบา” ออกมา
ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ส่องประกายแสงสีขาว
ครู่เดียวร่างของหลิ่วหมิงก็เบากว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่ามาก ช่วงที่พลิกตัวยักย้ายไปมานั้น ยิ่งดูว่องไวปราดเปรียวยิ่งนัก
และหมัดที่ปล่อยออกมาของหุ่นตัวนั้นล้วนปะทะกับอากาศอันว่างเปล่า ทันใดนั้นมันก็กางแขนทั้งสองออก หมุนลำตัวติ้วๆ ราวกับลูกข่างอย่างบ้าระห่ำ จนเกิดเป็นภาพลวงตาของแขนสิบกว่าข้างโจมตีมาที่หลิ่วหมิง
ในช่วงเวลานั้น รอบด้านของหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยหมัดสะบัดไปทั่ว ทางหลบหนีล้วนถูกปิดตายหมดสิ้น
หลิ่วหมิงเห็นดังนั้น ดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้นควันสีดำก็พัดกระพือโหมออกมา เขาบิดกายคล้ายงูไร้กระดูกหลบหลีกหมัดแต่ละชั้นได้อย่างเหลือเชื่อ ครู่เดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของหุ่นนักรบตัวนั้น
ฝ่ามือข้างที่ใส่ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ตรงเข้าไปยังหน้าอกที่ใส่ผลึกหินจิตวิญญาณของมัน ในขณะเดียวกันปากก็ตะโกนคำว่า “พยัคฆ์คำราม”
เสียงห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ดังกระหึ่ม ปรากฏภาพหัวพยัคฆ์สีเหลืองลอยออกมา พออ้าปากคลื่นเสียงสีขาวโพลนก็สั่นสะเทือนออกมา
เสียงดัง “ตู้ม” หุ่นนักรบถูกคลื่นเสียงเหล่านี้โจมตี
มันก้าวถอยหลังในทันที และหยุดลงอย่างฉับพลัน ที่แท้หุ่นนี้ไม่ได้รับความบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหินจิตวิญญาณที่หน้าอกแตกละเอียดกลายเป็นเศษผง
“ฮ่าๆ ดี ไม่เลว เวลาสั้นๆ เช่นนี้เจ้าก็สามารถหาจุดอ่อนของหุ่นรบขั้นต่ำได้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ ดูจากปฏิกิริยาการโต้ตอบของเจ้าแล้ว คงผ่านการต่อสู้จริงมาไม่น้อย” กุยหรูฉวนเห็นฉากนี้ก็ปรบมือยิ้มๆ แล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์เคยผ่านการฝึกเคล็ดวิชาของคนธรรมดามาบ้าง และก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการต่อสู้นิดหน่อย” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบยืนเก็บมือตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
“ดีมาก การทดสอบครั้งสุดท้าย ข้าประเมินให้เจ้าอยู่ในระดับสูง ดังนั้นการประเมินรวมอยู่ในระดับกลางถึงสูง ครั้งนี้เห็นจะได้รับรางวัลพิเศษซะแล้ว” นักปราชญ์กุยใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้ำเสียงเมตตาและอ่อนโยนมาก
“ขอบคุณอาจารย์กุย” หลิ่วหมิงย่อมดีใจเป็นธรรมดา เขารีบคารวะขอบคุณอีกครั้ง แล้วถึงเดินกลับไปยังกลุ่มศิษย์ใหม่ด้วยกัน ท่ามกลางสายตาที่มองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านเก่งมาก สามารถหาวิธีสู้เจ้าหุ่นนักรบตัวนั้นได้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ไป๋ ท่านฝึกวิชาจิตวิญญาณปีศาจขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกข้ากับท่านร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณด้วยกัน คงจะไม่มีทางเชื่อว่าท่านเป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณเหมือนกับพวกเรา” เซวียซานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อิจฉา
ทางด้านเด็กหนุ่มผมแดงก็ใช้สายตามองไปที่หลิ่วหมิงด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
“ไม่ได้ยินอาจารย์กุยพูดเหรอ ครั้งนี้ข้าแค่โชคดีหาจุดอ่อนของหุ่นนักรบเจอ ถึงเอาชนะมันได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าไปทดสอบคนแรกล่ะก็ คงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้คำพูดนี้ฟังดูแล้วอาจดูถ่อมตนไปบ้าง แต่เซวียซาน อวี๋เฉิง และศิษย์คนอื่นๆ ก็นับว่าหาเหตุผลในการพ่ายแพ้ให้ตนเองได้แล้ว ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
มีแค่วั่นเสี่ยวเชี่ยนที่ยังคงจ้องมองหลิ่วหมิงอยู่ และมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้
แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจว่าดรุณีน้อยจะเชื่อหรือไม่ แต่กลับพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังเซียวเฟิงซึ่งเป็นศิษย์ใหม่คนสุดท้ายที่จะลงไปทดสอบ
เซียวเฟิงนับว่าเป็นชายที่มีรูปร่างหน้าตาสง่าผ่าเผย เพียงแค่จมูกแบนเล็กน้อย แต่ด้วยเหตุที่เขามีถึงเก้าชีพจรจิตวิญญาณและยังไม่ได้ลงไปทดสอบ จึงมีผู้คนจำนวนมากแอบมองเขาอยู่ไม่หยุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา