ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 31

สรุปบท ตอนที่ 31 การประลองเล็ก: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 31 การประลองเล็ก – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 31 การประลองเล็ก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ทั้งสามคนนั้นคือนักปราชญ์กุยที่เป็นหัวหน้าสาขา จูชื่อ และอีกท่านนักพรตหญิงโฉมหน้างดงาม เส้นผมเต็มศีรษะ อายุประมาณสามสิบกว่าปี

ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้แล้วว่าชื่อเต็มของนักปราชญ์กุยคือกุยหรูฉวน นักพรตหญิงรูปงามท่านนั้นสามารถยืนอยู่ด้วยกันกับพวกเขาได้ แสดงว่าท่านนั้นก็คืออาจารย์ป้ากูที่เก็บตัวฝึกมาโดยตลอด

สำหรับศิษย์นิกายสายใน นอกจากคนใหม่ๆ แล้วก็มีศิษย์ที่เคยเจอกันเมื่อครั้งก่อน และก็มีศิษย์เก่าหลายคนที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป

ศิษย์เก่าเหล่านี้เขาไม่คุ้นหน้า แต่ว่าแต่ละคนนั้นมีกลิ่นอายที่เข้มข้น เห็นได้ชัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะผ่านการฝึกฝนมาได้

รอต่ออีกสักครู่ก็มีศิษย์สายในสิบกว่าคนเหาะลงมาในลานกว้าง หลังจากไม่มีคนปรากฏออกมาอีกแล้ว กุยหรูฉวนก็กระแอมไอแล้วกล่าวออกมา

“ดีมาก นอกจากศิษย์ไม่กี่คนที่ไปรับมอบหมายภารกิจจากนิกายแล้ว ศิษย์ทั้งหมดในสาขาของเราต่างก็มาพร้อมกันหมดแล้ว ครั้งนี้เป็นการประลองเล็กครั้งแรก หลังจากที่ศิษย์น้องคนใหม่ของเราเข้ามา ถ้าหากศิษย์คนใดทำได้ดีในการประลองนี้ จะต้องมีรางวัลให้อย่างแน่นอน และศิษย์ที่ทำออกมาได้ดีที่สุดจะมีรางวัลให้อย่างงาม ศิษย์น้องจู นำอุปกรณ์การทดสอบทั้งหมดออกมาเถอะ”

คำพูดสองสามประโยคสุดท้าย เขากลับกล่าวกับศิษย์น้องจู

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหัวเราะเฮ่อๆ แล้วไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นยันต์สีเหลืองอ่อนสองสามผืนก็ปรากฏออกมาบนมือเขา เขาชูแขนทั้งสองขึ้น แล้วโยนยันต์ไปในอากาศ

หลังจากเสียงดังฟิ้วๆ กลุ่มควันขาวๆ ลอยหายไปแล้ว ที่ว่างกลางลานกว้างนั้นก็ปรากฏสิ่งของขึ้นมาสิบกว่าชิ้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ดวงตาเป็นประกาย ยันต์สองสามผืนนั้นคงจะเป็นยันต์เก็บสิ่งของที่อาจารย์อาซูเคยพูดถึง

ของเยอะแยะมากมายขนาดนี้ สามารถใส่ลงในยันต์เล็กๆ ได้ ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ท่อนเหล็กสีดำขนาดแตกต่างจำนวนห้าท่อน ป้ายหินสีขาวมัวสูงครึ่งฟุต และหุ่นนักรบหยาบๆ เจ็ดแปดตัวที่มีสีแตกต่างกัน บางตัวสวมเกราะหนาอยู่ บางตัวถือดาบยักษ์ยาวขนาดเท่าความสูงของคนหนึ่งคน

“ตามกฎเดิม การประลองจะแบ่งเป็นสามกลุ่ม ศิษย์ใหม่หนึ่งกลุ่ม ศิษย์ที่อายุสามสิบปีขึ้นไปหนึ่งกลุ่ม ศิษย์ที่เหลืออีกหนึ่งกลุ่ม การประลองแบ่งเป็นสามอย่าง ได้แก่ประลองกำลัง ประลองวิชา และการต่อสู้จริง ศิษย์น้องจู อีกสักครู่เจ้ารับผิดชอบการทดสอบของศิษย์กลุ่มที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป ศิษย์น้องจงรับผิดชอบศิษย์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปี ข้าจะรับผิดชอบศิษย์ใหม่ด้วยตนเอง” กุยหรูฉวนอธิบายเล็กน้อย แล้วกล่าวออกมา

จูชื่อกับอาจารย์ป้าจงก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด

ทั้งสามปรึกษากันเล็กน้อย ตัดสินใจให้ศิษย์ใหม่เริ่มทดสอบก่อน จากนั้นให้เป็นศิษย์ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี สุดท้ายค่อยเป็นการทดสอบของศิษย์เก่าที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป

นักปราชญ์กุยกระแอมไอแล้วก็เดินออกมากล่าว

“ศิษย์ใหม่ยืนขึ้นเถอะ ให้ศิษย์พี่ทั้งหลายที่ยังไม่เคยเห็นพวกเจ้าได้รู้จักสักหน่อย สาขาเก้าทารกของเราอาจจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากร่วมมือร่วมใจกันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสาขาอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย”

ได้ยินนักปราชญ์กุยกล่าวดังนี้ หลิ่วหมิงและศิษย์ใหม่ทั้งหมดรวมห้าคนก็ก้าวเท้าออกมา และแนะนำตัวเองพร้อมโค้งคำนับไปรอบด้าน

ศิษย์คนอื่นๆ ก็ส่งยิ้มกลับตอบมาทักทาย

“อวี๋เฉิง เจ้าเป็นศิษย์ติดตาม งั้นก็เริ่มจากเจ้าก่อนเลยละกัน ให้ข้าเห็นถึงการฝึกฝนของเจ้าในครึ่งปีที่ผ่านมานี้รุดหน้าไปแค่ไหน” นักปราชญ์กุยกวาดสายตามองมาทางพวกหลิ่วหมิงแล้ว สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมแดงและกล่าวขึ้นมา

เด็กหนุ่มผมแดงได้ยินดังนั้น ก็โค้งคำนับแล้วขานตอบรับ และเดินไปยังท่อนเหล็กสีดำทั้งห้าท่อน เขาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าท่อนที่เล็กที่สุด

จะบอกว่าเล็กสุด แต่ท่อนเหล็กสีดำเล็กที่อยู่ด้านหน้าเขานี้มีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า เหมือนจะหนักราวๆ สี่ห้าร้อยชั่ง คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะเคลื่อนมันได้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงคิดว่า ถ้าหากว่าไม่กระตุ้นพลังแฝงออกมา ตนเองก็คงจะลำบากเหมือนกัน

เด็กหนุ่มผมแดงส่งเสียงคำรามออกมา สองมือจับลงบนด้ามจับของท่อนเหล็กไว้มั่น แขนทั้งสองออกแรงโดยฉับพลัน

ท่อนเหล็กสั่นสองสามครั้งแล้วก็ไม่ได้โดนยกขึ้นจากพื้น

เด็กหนุ่มหน้าแดงไปมาก ทันใดนั้นเขาก็ร่ายคาถาขึ้นมา แสงสีเหลืองอ่อนแผ่ปกคลุมร่างของเขาหนึ่งชั้น

อารมณ์ของเขาในตอนนี้ต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

เขาคำรามเสียงดังอีกครั้งแล้วบนแขนของเด็กหนุ่มก็มีอักขระสีเหลืองส่องประกายขึ้นมาหลายเส้น และท่อนเหล็กนั้นก็ค่อยๆ ถูกยกขึ้นมา

เสียงดัง “เพล้ง”

เวลาเพียงชั่วครู่ หน้าของเด็กหนุ่มแดงไปทั้งหน้า ท่อนเหล็กถูกโยนลงที่พื้นอีกครั้ง และมันกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมตื้นเล็กๆ

“ดูเหมือนเจ้าจะสำเร็จวิชาพลังจิตวิญญาณพสุธาขั้นที่หนึ่งแล้ว มิเช่นนั้นลำพังแค่พลังเวทย์อย่างเดียวไม่อาจยกท่อนเหล็กนี้ได้ ยังคิดที่จะลองท่อนที่สองอยู่อีกไหม” กุยหรูฉวนเห็นดังนี้ก็กล่าวออกมายิ้มๆ แต่ไม่ได้กล่าวชื่นชมหรือตำหนิแต่อย่างใด

ศิษย์สายในที่ดูอยู่รอบด้าน ต่างก็มองดูแล้วยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด

“ศิษย์ยกท่อนเหล็กนี้ก็รู้สึกฝืนตัวเองมากแล้ว ท่อนที่สองคงจะไม่สามารถยกได้ไหว” เด็กหนุ่มผมแดงหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง สงบอาการเหนื่อยหอบของตนเองได้แล้วจึงกล่าวกลับไปอย่างนอบน้อม

“อืม งั้นเจ้าก็ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด ในการโจมตีป้ายหินที่ทำมาจากผลึกหินสีขาวก้อนนี้ ในระยะห่างสิบก้าวขึ้นไป ใช้เวลาสิบลมหายใจในการทำร่องรอยไว้บนนั้น เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดความเชี่ยวชาญในวิชาและพลังของเจ้า” นักปราชญ์กุยกล่าวอย่างช้าๆ

“รับทราบ อาจารย์กุย” อวี๋เฉิงตอบรับแล้วก็เดินไปยังจุดที่อยู่ห่างจากป้ายหินสีขาวมัวสิบกว่าก้าว และทำท่ามือขึ้นมา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ กลางมือทั้งสองก็มีแสงสีขาวบางๆ ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา และมันยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตะโกนเสียงออกมา “คมวายุ” มือข้างหนึ่งยกขึ้น แสงนั้นก็ส่องประกายพุ่งออกไป

หลิ่วหมิงและศิษย์ใหม่คนอื่นๆ เห็นดังนี้ต่างก็ชำเลืองมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

“คนต่อไป เซวียซาน” นักปราชญ์กุยอ่านนามของคนต่อไปโดยไม่สนใจ

เซวียซานแสยะปาก ก็ได้แต่ฝืนเดินออกไป

หลังการทดสอบทั้งสามอย่าง ศิษย์ที่ฝึกวิชาพื้นฐานขั้นแรกยังไม่สำเร็จอย่างเขา ไม่สามารถยกแท่นเหล็กขึ้นได้แม้แต่ท่อนเดียว ทดสอบวิชาก็ทำได้แค่ใช้เปลวไฟเล็กๆ สร้างรอยบางๆ ไว้เท่านั้น การทดสอบต่อสู้จริงขั้นสุดท้ายก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่ครู่เดียวก็ถูกหุ่นนักรบโจมตีจนกระเด็นออกจากวงกลมแล้ว

แต้มประเมินที่เขาได้รับ แน่นอนว่าย่อมเป็นระดับต่ำเท่านั้น

คนต่อมาคือวั่นเสี่ยวเชี่ยน ซึ่งทำได้ดีกว่าหน่อย

หญิงนางนี้ถึงจะแสดงพลังและวิชาออกมาได้ไม่ดีนัก แต่การต่อสู้จริงขั้นสุดท้ายกลับใช้วิชาตัวเบาบวกกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับลมเข้าช่วย ทำให้สามารถยืนหยัดรับมือกับหุ่นคนได้ประมาณหนึ่งก้านธูป สุดท้ายได้แต้มประเมินอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ

“ไป๋ชงเทียน”

ในที่สุดสายตาของนักปราชญ์กุยก็ตกที่ร่างของหลิ่วหมิว

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งเฮือก และปลุกกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ ควันสีดำจางๆ ม้วนตัวออกจากร่างของเขา แล้วเขาก็เดินไปยังท่อนเหล็กหลายท่อนนั้น

นักปราชญ์กุยเห็นดังนี้ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

อีกด้านหนึ่ง จูชื่อที่เดิมทีกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับนักพรตหญิงอยู่ สายตาเหลือบไปเห็นลักษณะที่ดูผิดปกติบนร่างของหลิ่วหมิง ก็อดอุทานออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้

นักพรตหญิงที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ทำไมศิษย์พี่จูถึงได้ดูตกตะลึงเช่นนี้?”

“ศิษย์น้องจงไม่รู้อะไร เจ้าเด็กนี่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ วิชาที่เลือกฝึกก็เป็นวิชาจิตวิญญาณปีศาจที่ไม่ใช่วิชาหลักของสาขาเรา แต่ดูท่าทางเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาฝึกวิชาจิตวิญญาณปีศาจได้สำเร็จในขั้นแรกแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนคาดคิดไม่ถึง” จูชื่อค่อยๆ กล่าวออกมา

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ดูท่าเจ้าเด็กนี่คงไม่ใช่ผู้ที่สามชีพจรจิตวิญญาณธรรมดาซะแล้วล่ะ” นักพรตหญิงรูปโฉมงดงามได้ฟังคำพูดนี้ สายตาทั้งคู่มองไปทางหลิ่วหมิง แสดงความรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา