ทั้งสามคนนั้นคือนักปราชญ์กุยที่เป็นหัวหน้าสาขา จูชื่อ และอีกท่านนักพรตหญิงโฉมหน้างดงาม เส้นผมเต็มศีรษะ อายุประมาณสามสิบกว่าปี
ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้แล้วว่าชื่อเต็มของนักปราชญ์กุยคือกุยหรูฉวน นักพรตหญิงรูปงามท่านนั้นสามารถยืนอยู่ด้วยกันกับพวกเขาได้ แสดงว่าท่านนั้นก็คืออาจารย์ป้ากูที่เก็บตัวฝึกมาโดยตลอด
สำหรับศิษย์นิกายสายใน นอกจากคนใหม่ๆ แล้วก็มีศิษย์ที่เคยเจอกันเมื่อครั้งก่อน และก็มีศิษย์เก่าหลายคนที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป
ศิษย์เก่าเหล่านี้เขาไม่คุ้นหน้า แต่ว่าแต่ละคนนั้นมีกลิ่นอายที่เข้มข้น เห็นได้ชัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะผ่านการฝึกฝนมาได้
รอต่ออีกสักครู่ก็มีศิษย์สายในสิบกว่าคนเหาะลงมาในลานกว้าง หลังจากไม่มีคนปรากฏออกมาอีกแล้ว กุยหรูฉวนก็กระแอมไอแล้วกล่าวออกมา
“ดีมาก นอกจากศิษย์ไม่กี่คนที่ไปรับมอบหมายภารกิจจากนิกายแล้ว ศิษย์ทั้งหมดในสาขาของเราต่างก็มาพร้อมกันหมดแล้ว ครั้งนี้เป็นการประลองเล็กครั้งแรก หลังจากที่ศิษย์น้องคนใหม่ของเราเข้ามา ถ้าหากศิษย์คนใดทำได้ดีในการประลองนี้ จะต้องมีรางวัลให้อย่างแน่นอน และศิษย์ที่ทำออกมาได้ดีที่สุดจะมีรางวัลให้อย่างงาม ศิษย์น้องจู นำอุปกรณ์การทดสอบทั้งหมดออกมาเถอะ”
คำพูดสองสามประโยคสุดท้าย เขากลับกล่าวกับศิษย์น้องจู
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหัวเราะเฮ่อๆ แล้วไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นยันต์สีเหลืองอ่อนสองสามผืนก็ปรากฏออกมาบนมือเขา เขาชูแขนทั้งสองขึ้น แล้วโยนยันต์ไปในอากาศ
หลังจากเสียงดังฟิ้วๆ กลุ่มควันขาวๆ ลอยหายไปแล้ว ที่ว่างกลางลานกว้างนั้นก็ปรากฏสิ่งของขึ้นมาสิบกว่าชิ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ดวงตาเป็นประกาย ยันต์สองสามผืนนั้นคงจะเป็นยันต์เก็บสิ่งของที่อาจารย์อาซูเคยพูดถึง
ของเยอะแยะมากมายขนาดนี้ สามารถใส่ลงในยันต์เล็กๆ ได้ ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ท่อนเหล็กสีดำขนาดแตกต่างจำนวนห้าท่อน ป้ายหินสีขาวมัวสูงครึ่งฟุต และหุ่นนักรบหยาบๆ เจ็ดแปดตัวที่มีสีแตกต่างกัน บางตัวสวมเกราะหนาอยู่ บางตัวถือดาบยักษ์ยาวขนาดเท่าความสูงของคนหนึ่งคน
“ตามกฎเดิม การประลองจะแบ่งเป็นสามกลุ่ม ศิษย์ใหม่หนึ่งกลุ่ม ศิษย์ที่อายุสามสิบปีขึ้นไปหนึ่งกลุ่ม ศิษย์ที่เหลืออีกหนึ่งกลุ่ม การประลองแบ่งเป็นสามอย่าง ได้แก่ประลองกำลัง ประลองวิชา และการต่อสู้จริง ศิษย์น้องจู อีกสักครู่เจ้ารับผิดชอบการทดสอบของศิษย์กลุ่มที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป ศิษย์น้องจงรับผิดชอบศิษย์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปี ข้าจะรับผิดชอบศิษย์ใหม่ด้วยตนเอง” กุยหรูฉวนอธิบายเล็กน้อย แล้วกล่าวออกมา
จูชื่อกับอาจารย์ป้าจงก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด
ทั้งสามปรึกษากันเล็กน้อย ตัดสินใจให้ศิษย์ใหม่เริ่มทดสอบก่อน จากนั้นให้เป็นศิษย์ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี สุดท้ายค่อยเป็นการทดสอบของศิษย์เก่าที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไป
นักปราชญ์กุยกระแอมไอแล้วก็เดินออกมากล่าว
“ศิษย์ใหม่ยืนขึ้นเถอะ ให้ศิษย์พี่ทั้งหลายที่ยังไม่เคยเห็นพวกเจ้าได้รู้จักสักหน่อย สาขาเก้าทารกของเราอาจจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากร่วมมือร่วมใจกันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสาขาอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย”
ได้ยินนักปราชญ์กุยกล่าวดังนี้ หลิ่วหมิงและศิษย์ใหม่ทั้งหมดรวมห้าคนก็ก้าวเท้าออกมา และแนะนำตัวเองพร้อมโค้งคำนับไปรอบด้าน
ศิษย์คนอื่นๆ ก็ส่งยิ้มกลับตอบมาทักทาย
“อวี๋เฉิง เจ้าเป็นศิษย์ติดตาม งั้นก็เริ่มจากเจ้าก่อนเลยละกัน ให้ข้าเห็นถึงการฝึกฝนของเจ้าในครึ่งปีที่ผ่านมานี้รุดหน้าไปแค่ไหน” นักปราชญ์กุยกวาดสายตามองมาทางพวกหลิ่วหมิงแล้ว สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมแดงและกล่าวขึ้นมา
เด็กหนุ่มผมแดงได้ยินดังนั้น ก็โค้งคำนับแล้วขานตอบรับ และเดินไปยังท่อนเหล็กสีดำทั้งห้าท่อน เขาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าท่อนที่เล็กที่สุด
จะบอกว่าเล็กสุด แต่ท่อนเหล็กสีดำเล็กที่อยู่ด้านหน้าเขานี้มีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า เหมือนจะหนักราวๆ สี่ห้าร้อยชั่ง คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะเคลื่อนมันได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงคิดว่า ถ้าหากว่าไม่กระตุ้นพลังแฝงออกมา ตนเองก็คงจะลำบากเหมือนกัน
เด็กหนุ่มผมแดงส่งเสียงคำรามออกมา สองมือจับลงบนด้ามจับของท่อนเหล็กไว้มั่น แขนทั้งสองออกแรงโดยฉับพลัน
ท่อนเหล็กสั่นสองสามครั้งแล้วก็ไม่ได้โดนยกขึ้นจากพื้น
เด็กหนุ่มหน้าแดงไปมาก ทันใดนั้นเขาก็ร่ายคาถาขึ้นมา แสงสีเหลืองอ่อนแผ่ปกคลุมร่างของเขาหนึ่งชั้น
อารมณ์ของเขาในตอนนี้ต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
เขาคำรามเสียงดังอีกครั้งแล้วบนแขนของเด็กหนุ่มก็มีอักขระสีเหลืองส่องประกายขึ้นมาหลายเส้น และท่อนเหล็กนั้นก็ค่อยๆ ถูกยกขึ้นมา
เสียงดัง “เพล้ง”
เวลาเพียงชั่วครู่ หน้าของเด็กหนุ่มแดงไปทั้งหน้า ท่อนเหล็กถูกโยนลงที่พื้นอีกครั้ง และมันกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมตื้นเล็กๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะสำเร็จวิชาพลังจิตวิญญาณพสุธาขั้นที่หนึ่งแล้ว มิเช่นนั้นลำพังแค่พลังเวทย์อย่างเดียวไม่อาจยกท่อนเหล็กนี้ได้ ยังคิดที่จะลองท่อนที่สองอยู่อีกไหม” กุยหรูฉวนเห็นดังนี้ก็กล่าวออกมายิ้มๆ แต่ไม่ได้กล่าวชื่นชมหรือตำหนิแต่อย่างใด
ศิษย์สายในที่ดูอยู่รอบด้าน ต่างก็มองดูแล้วยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด
“ศิษย์ยกท่อนเหล็กนี้ก็รู้สึกฝืนตัวเองมากแล้ว ท่อนที่สองคงจะไม่สามารถยกได้ไหว” เด็กหนุ่มผมแดงหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง สงบอาการเหนื่อยหอบของตนเองได้แล้วจึงกล่าวกลับไปอย่างนอบน้อม
“อืม งั้นเจ้าก็ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด ในการโจมตีป้ายหินที่ทำมาจากผลึกหินสีขาวก้อนนี้ ในระยะห่างสิบก้าวขึ้นไป ใช้เวลาสิบลมหายใจในการทำร่องรอยไว้บนนั้น เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดความเชี่ยวชาญในวิชาและพลังของเจ้า” นักปราชญ์กุยกล่าวอย่างช้าๆ
“รับทราบ อาจารย์กุย” อวี๋เฉิงตอบรับแล้วก็เดินไปยังจุดที่อยู่ห่างจากป้ายหินสีขาวมัวสิบกว่าก้าว และทำท่ามือขึ้นมา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ กลางมือทั้งสองก็มีแสงสีขาวบางๆ ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา และมันยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตะโกนเสียงออกมา “คมวายุ” มือข้างหนึ่งยกขึ้น แสงนั้นก็ส่องประกายพุ่งออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา