ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 30

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะถูกฝ่ายตรงข้ามมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามดูถูกดูแคลน เขาก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับเดินเข้าที่นาของตนเองโดยไม่ลังเล เขาเลือกรวงข้าวจิตวิญญาณที่อวบอ้วนสมบูรณ์ ใช้กระบี่ที่พกติดตัวมาตัดมันออกไป

เขาหยิบผ้าสีเหลืองผืนหนึ่งออกมาจากอก และห่อรวงข้างจิตวิญญาณด้วยผ้านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินไปยังป่าดงดิบทันที

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงรายงานภารกิจเสร็จก็กลับไปยังที่พักของตน

เขานั่งลงหน้าโต๊ะ แกะห่อผ้าออก แล้วมองดูรวงข้าวเหล่านั้นอย่างละเอียดอีกรอบ

รวงข้าวจิตวิญญาณเหล่านี้ยาวครึ่งฉื่อกว่าๆ เมล็ดข้าวแต่ละเมล็ดมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง แต่ว่ารวงข้าวหนึ่งรวงมีเมล็ดข้าวแค่เจ็ดแปดเมล็ด เปลือกข้าวล้วนส่องแสงประกายระยิบระยับ ดูคล้ายกับทำมาจากทองคำบริสุทธิ์

หลิ่วหมิงมองดูสักครู่ แล้วรูดเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ดมาวางไว้ในฝ่ามือ และเอามือทั้งสองถูไปมาเบาๆ

เปลือกข้าวค่อยๆ กระเทาะหลุดออกมาคล้ายกับกระดาษ เมล็ดข้าวสีขาววาวราวกับหยกก็ปรากฏออกมา เขาเอามันมาดมใกล้ๆ จมูก มีกลิ่นหอมจรุงใจลอยออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเดินไปหาหม้อดินเคลือบจากห้องอีกห้องอย่างไม่ลังเล เขาใส่น้ำสะอาดลงไปหน่อยหนึ่ง และนำเมล็ดข้าวที่เอาเปลือกออกแล้วใส่ลงไปในนั้น

เขายกมันขึ้นด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งกลับทำท่ามือ ในขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถาไม่หยุด

เสียงดัง “พรึ่บ” เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหลิ่วหมิง และลุกไหม้คุโชนรอบๆ หม้อดินเคลือบ

และนี่ก็คือวิชาอัคคีแผดเผาที่เขาฝึกเพิ่งสำเร็จใหม่ๆ

ผ่านไปสักครู่ ก็มีกลิ่มหอมอบอวลลอยมาจากหม้อดินเคลือบ ทำให้คนที่ได้กลิ่นเกิดความอยากอาหารขึ้นมาทันที

หลิ่วหมิงควบคุมให้เปลวไฟหรี่เล็กลงสักหน่อย แล้วรอสักครู่ ถึงค่อยดับไฟด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว” และนำหม้อดินเคลือบที่เดือดปุดๆ ไปวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปิดฝาหม้อออกมา

ข้าวสวยที่มีสีขาวใสประดุจหิมะ และส่งกลิ่นหอมอบอวลได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า

หลิ่วหมิงนำช้อนไม้ที่เตรียมไว้มาตักข้าวจากในหม้อ ตักไปช้อนเดียวก็ล่อไปเกือบหม้อ และใส่เข้าไปในปากของตัวเองหนึ่งคำ

ดูเหมือนว่าข้าวสวยร้อนๆ หนึ่งคำที่เข้าไปในปากให้ความรู้สึกนุ่มลื่นทั่วทั้งปากยากที่จะบรรยายได้

เมล็ดข้าวเหล่านี้ค่อยๆ กลิ้งขยุกขยิกลงไปในท้องราวกับสิ่งมีชีวิต ตลอดชีวิตนี้เขาไม่เคยลิ้มรสข้าวที่มีรสชาติเลิศล้ำแบบนี้มาก่อน

หลิ่วหมิงทนไม่ได้ เขากินข้าวในหม้อหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

แต่ครู่ต่อมา เขาก็รู้สึกถึงความร้อนแผดเผาที่ท้อง แล้วกระจายไปทั่วร่าง

“เอ๋ นี่คือ…”

ไอร้อนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์

เขาไม่คิดอะไรมาก รีบนั่งขัดสมาธิลง กำหนดลมหาย และทำการฝึกฝนทันที

หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตระหนกตกใจระคนดีใจ

การฝึกฝนเมื่อชั่วครู่ พลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาก มากกว่าการลำบากฝึกฝนหนึ่งวันเสียอีก

ข้าวจิตวิญญาณนี้มีผลดีต่อการฝึกฝนอย่างน่าอัศจรรย์ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

มิน่าล่ะหลี่จงผู้นั้นถึงพูดว่า ไปทำนาไม่แน่อาจได้อะไรสิ่งมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึง

ถ้าหากเขาสามารถกินข้าวจิตวิญญาณนี้ได้ทุกวันล่ะก็ การฝึกฝนคงรวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว

แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองของหลิ่วหมิงสักครู่ เขาก็ส่ายหัวสะบัดความคิดนี้ทิ้งไป

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าวจิตวิญญาณนี้มีน้อยมาก ศิษย์ธรรมดาไม่อาจได้รับมันจากนิกาย ลำพังแค่ความรู้สึกเต็มอิ่มในท้องของข้าวจิตวิญญาณนี้ ก็มีมากกว่าโอสถทิพย์หลายเท่า เกรงว่าถ้าหากมีข้าวจิตวิญญาณที่เพียงพอ การกินหนึ่งครั้งก็สามารถอยู่ได้แค่หกถึงเจ็ดวันเท่านั้น

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ความเร็วในการฝึกฝนอย่างมากก็แค่เร็วกว่าเดิมหกถึงแปดส่วนเท่านั้น

วิธีการแบบนี้เมื่อเทียบกับหนึ่งจิตสองพลังของเขาแล้วยังนับว่าห่างไกลกันยิ่งนัก

พอหลิ่วหมิ่วคิดแบบนี้แล้ว ความตื่นเต้นบนใบหน้าก็หายไปโดยไม่รู้ตัว

เขานำรวงข้าวจิตวิญญาณที่เหลือเก็บให้เรียบร้อย แล้วก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อฝึกฝนต่อ

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเกือบเดือน เขาแค่อาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำเปลี่ยนพลังภายในให้เป็นพลังเวทย์ ด้วยเหตุนี้จึงฝึกฝนผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างราบรื่นกว่าปกติ

และพลังภายในของเขาตอนนี้ใช้ไปหมดแล้ว คิดจะเพิ่มพลังเวทย์ก็ต้องลำบากฝึกฝนสักหน่อยแล้ว

หลิ่วหมิงได้รู้จากคัมภีร์ประสบการณ์ทั้งสองเล่มนั้นว่า เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนยิ่งนานเท่าไหร่ การฝึกฝนโดยทั่วก็ยิ่งต้องใช้พลังจิตมากขึ้นไปด้วย เวลาที่มีอยู่ล้วนต้องใช้ไปกับการฟื้นฟูพลังจิต

แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว การฝึกฝนที่เพิ่มพูนขึ้น พลังจิตของผู้ฝึกฝนก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ดังนั้นเมื่อศิษย์จิตวิญญาณใหม่กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางและขั้นปลายฝึกฝนเคล็ดวิชาเหมือนกัน แต่ความระดับความเร็วก็ยังแตกต่างกันมาก

แต่สำหรับวิชาที่คล้ายกับวิชาจิตวิญญาณพสุธา ที่เป็นวิชาพื้นฐานของนิกายนี้ ศิษย์ทั่วไปฝึกฝนได้ห้าหกชั่วยาม ก็ต้องหยุดพักยาวเหมือนกัน ถึงจะฝึกฝนต่อได้

ตอนที่หลิ่วหมิงใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ กลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ได้แต่ฝึกฝนติดต่อกันห้าหกคืนวันไม่หยุดแล้วแค่นอนหลับให้อิ่มสักหนึ่งวัน ก็สามารถฟื้นฟูพลังจิตให้กลับมาเหมือนเดิมเพื่อที่จะฝึกฝนรอบต่อไปได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา