ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 30

สรุปบท ตอนที่ 30 ฝึกฝนบรรลุขั้นต้น: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 30 ฝึกฝนบรรลุขั้นต้น – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 30 ฝึกฝนบรรลุขั้นต้น ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะถูกฝ่ายตรงข้ามมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามดูถูกดูแคลน เขาก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับเดินเข้าที่นาของตนเองโดยไม่ลังเล เขาเลือกรวงข้าวจิตวิญญาณที่อวบอ้วนสมบูรณ์ ใช้กระบี่ที่พกติดตัวมาตัดมันออกไป

เขาหยิบผ้าสีเหลืองผืนหนึ่งออกมาจากอก และห่อรวงข้างจิตวิญญาณด้วยผ้านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินไปยังป่าดงดิบทันที

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงรายงานภารกิจเสร็จก็กลับไปยังที่พักของตน

เขานั่งลงหน้าโต๊ะ แกะห่อผ้าออก แล้วมองดูรวงข้าวเหล่านั้นอย่างละเอียดอีกรอบ

รวงข้าวจิตวิญญาณเหล่านี้ยาวครึ่งฉื่อกว่าๆ เมล็ดข้าวแต่ละเมล็ดมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง แต่ว่ารวงข้าวหนึ่งรวงมีเมล็ดข้าวแค่เจ็ดแปดเมล็ด เปลือกข้าวล้วนส่องแสงประกายระยิบระยับ ดูคล้ายกับทำมาจากทองคำบริสุทธิ์

หลิ่วหมิงมองดูสักครู่ แล้วรูดเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ดมาวางไว้ในฝ่ามือ และเอามือทั้งสองถูไปมาเบาๆ

เปลือกข้าวค่อยๆ กระเทาะหลุดออกมาคล้ายกับกระดาษ เมล็ดข้าวสีขาววาวราวกับหยกก็ปรากฏออกมา เขาเอามันมาดมใกล้ๆ จมูก มีกลิ่นหอมจรุงใจลอยออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเดินไปหาหม้อดินเคลือบจากห้องอีกห้องอย่างไม่ลังเล เขาใส่น้ำสะอาดลงไปหน่อยหนึ่ง และนำเมล็ดข้าวที่เอาเปลือกออกแล้วใส่ลงไปในนั้น

เขายกมันขึ้นด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งกลับทำท่ามือ ในขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถาไม่หยุด

เสียงดัง “พรึ่บ” เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหลิ่วหมิง และลุกไหม้คุโชนรอบๆ หม้อดินเคลือบ

และนี่ก็คือวิชาอัคคีแผดเผาที่เขาฝึกเพิ่งสำเร็จใหม่ๆ

ผ่านไปสักครู่ ก็มีกลิ่มหอมอบอวลลอยมาจากหม้อดินเคลือบ ทำให้คนที่ได้กลิ่นเกิดความอยากอาหารขึ้นมาทันที

หลิ่วหมิงควบคุมให้เปลวไฟหรี่เล็กลงสักหน่อย แล้วรอสักครู่ ถึงค่อยดับไฟด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว” และนำหม้อดินเคลือบที่เดือดปุดๆ ไปวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปิดฝาหม้อออกมา

ข้าวสวยที่มีสีขาวใสประดุจหิมะ และส่งกลิ่นหอมอบอวลได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า

หลิ่วหมิงนำช้อนไม้ที่เตรียมไว้มาตักข้าวจากในหม้อ ตักไปช้อนเดียวก็ล่อไปเกือบหม้อ และใส่เข้าไปในปากของตัวเองหนึ่งคำ

ดูเหมือนว่าข้าวสวยร้อนๆ หนึ่งคำที่เข้าไปในปากให้ความรู้สึกนุ่มลื่นทั่วทั้งปากยากที่จะบรรยายได้

เมล็ดข้าวเหล่านี้ค่อยๆ กลิ้งขยุกขยิกลงไปในท้องราวกับสิ่งมีชีวิต ตลอดชีวิตนี้เขาไม่เคยลิ้มรสข้าวที่มีรสชาติเลิศล้ำแบบนี้มาก่อน

หลิ่วหมิงทนไม่ได้ เขากินข้าวในหม้อหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

แต่ครู่ต่อมา เขาก็รู้สึกถึงความร้อนแผดเผาที่ท้อง แล้วกระจายไปทั่วร่าง

“เอ๋ นี่คือ…”

ไอร้อนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์

เขาไม่คิดอะไรมาก รีบนั่งขัดสมาธิลง กำหนดลมหาย และทำการฝึกฝนทันที

หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตระหนกตกใจระคนดีใจ

การฝึกฝนเมื่อชั่วครู่ พลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาก มากกว่าการลำบากฝึกฝนหนึ่งวันเสียอีก

ข้าวจิตวิญญาณนี้มีผลดีต่อการฝึกฝนอย่างน่าอัศจรรย์ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

มิน่าล่ะหลี่จงผู้นั้นถึงพูดว่า ไปทำนาไม่แน่อาจได้อะไรสิ่งมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึง

ถ้าหากเขาสามารถกินข้าวจิตวิญญาณนี้ได้ทุกวันล่ะก็ การฝึกฝนคงรวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว

แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองของหลิ่วหมิงสักครู่ เขาก็ส่ายหัวสะบัดความคิดนี้ทิ้งไป

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าวจิตวิญญาณนี้มีน้อยมาก ศิษย์ธรรมดาไม่อาจได้รับมันจากนิกาย ลำพังแค่ความรู้สึกเต็มอิ่มในท้องของข้าวจิตวิญญาณนี้ ก็มีมากกว่าโอสถทิพย์หลายเท่า เกรงว่าถ้าหากมีข้าวจิตวิญญาณที่เพียงพอ การกินหนึ่งครั้งก็สามารถอยู่ได้แค่หกถึงเจ็ดวันเท่านั้น

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ความเร็วในการฝึกฝนอย่างมากก็แค่เร็วกว่าเดิมหกถึงแปดส่วนเท่านั้น

วิธีการแบบนี้เมื่อเทียบกับหนึ่งจิตสองพลังของเขาแล้วยังนับว่าห่างไกลกันยิ่งนัก

พอหลิ่วหมิ่วคิดแบบนี้แล้ว ความตื่นเต้นบนใบหน้าก็หายไปโดยไม่รู้ตัว

เขานำรวงข้าวจิตวิญญาณที่เหลือเก็บให้เรียบร้อย แล้วก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อฝึกฝนต่อ

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเกือบเดือน เขาแค่อาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำเปลี่ยนพลังภายในให้เป็นพลังเวทย์ ด้วยเหตุนี้จึงฝึกฝนผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างราบรื่นกว่าปกติ

และพลังภายในของเขาตอนนี้ใช้ไปหมดแล้ว คิดจะเพิ่มพลังเวทย์ก็ต้องลำบากฝึกฝนสักหน่อยแล้ว

หลิ่วหมิงได้รู้จากคัมภีร์ประสบการณ์ทั้งสองเล่มนั้นว่า เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนยิ่งนานเท่าไหร่ การฝึกฝนโดยทั่วก็ยิ่งต้องใช้พลังจิตมากขึ้นไปด้วย เวลาที่มีอยู่ล้วนต้องใช้ไปกับการฟื้นฟูพลังจิต

แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว การฝึกฝนที่เพิ่มพูนขึ้น พลังจิตของผู้ฝึกฝนก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ดังนั้นเมื่อศิษย์จิตวิญญาณใหม่กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางและขั้นปลายฝึกฝนเคล็ดวิชาเหมือนกัน แต่ความระดับความเร็วก็ยังแตกต่างกันมาก

แต่สำหรับวิชาที่คล้ายกับวิชาจิตวิญญาณพสุธา ที่เป็นวิชาพื้นฐานของนิกายนี้ ศิษย์ทั่วไปฝึกฝนได้ห้าหกชั่วยาม ก็ต้องหยุดพักยาวเหมือนกัน ถึงจะฝึกฝนต่อได้

ตอนที่หลิ่วหมิงใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ กลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ได้แต่ฝึกฝนติดต่อกันห้าหกคืนวันไม่หยุดแล้วแค่นอนหลับให้อิ่มสักหนึ่งวัน ก็สามารถฟื้นฟูพลังจิตให้กลับมาเหมือนเดิมเพื่อที่จะฝึกฝนรอบต่อไปได้

ในระหว่างเวลานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะรับมอบหมายภารกิจจากนิกายกับไปหอคัมภีร์โบราณแลกคัมภีร์วิชาต่างๆ ที่มีประโยชน์แล้ว ก็ไม่ได้ไปที่อื่นเลยแม่แต่ก้าวเดียว

เขาตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

วันนี้ ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังฝึกฝน อยู่ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา ภายในร่างกายของเขามีเสียงโลหะกระทบกันเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นออกมา พอเขาอ้าปาก ก็มีไอสีดำเข้มข้นพ่นออกมา กลายเป็นพายุที่มืดครึ้มพัดวนรอบกายเขาอย่างบ้าคลั่ง

ในท่ามกลางพายุนั้น มองเห็นเห็นหนวดสีดำหลายเส้นพัดสะบัดไปมาอยู่รำไร แต่พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

คาถาเสียงดังกังวานลอยมาจากลมพายุนั้น และหลังจากที่เสียงทุ้มต่ำดังออกมา พายุก็พลันหยุดลง ปรากฏภาพหลิ่วหมิงยืนอยู่ในนั้น

“นี่คือขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชากระดูกดำ ในที่สุดก็ฝึกฝนสำเร็จ ฮ่าๆ หนึ่งปีเหรอ? สำหรับข้าแล้วครึ่งปีก็เพียงพอแล้ว” หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองขึ้น มองเห็นไอเส้นดำๆ หมุนพันอยู่ที่นิ้วของเขาไม่หยุด ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มพอใจออกมา

ทันทีที่เขายกมือขึ้น ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่ข้อมือก็ค่อยๆ เปล่งแสงกระพริบไม่หยุด เขาชี้นิ้วชี้ไปทางผนังห้องที่อยู่ไม่ไกลออกไป

เสียงดัง “ฟู่” พายุดำพุ่งออกไปทำให้เกิดรูเล็กๆบนผนังห้อง

หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

อานุภาพแบบนี้ ดูเหมือนกับว่าสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกปราณขั้นสุดยอดแล้ว ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ขั้นต้นของศิษย์จิตวิญญาณแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ‘วิชาโซ่ตรวนวิญญาณ’ ในมือของเขานั้น ในที่สุดก็สามารถเริ่มต้นฝึกได้แล้ว

และในตอนนี้นี่เอง ก็มีเสียงระฆังดัง “เต๊ง” เต๊ง” ติดต่อกัน ดังมาจากนอกที่พัก

หลิ่วหมิงตกตะลึง รีบก้าวยาวออกไปยังนอกที่พัก และแหงนหน้ามองไปยังยอดเขา

เสียงระฆังนั้นดังมาจากยอดเขาของสาขาเก้าทารก และเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ดังติดต่อกันเก้าครั้ง

“เสียงดังติดต่อกันเก้าครั้ง? หรือว่าวันนี้จะเป็นวันที่มีการประลองเล็กของสาขา” หลิ่วหมิงฟังเสียงระฆังดังจบแล้ว ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

และในตอนนี้นี่เอง เขาก็เห็นเมฆแต่ละก้อน ลอยจากด้านล่างพุ่งตรงขึ้นสู่ยอดเขา

หลิ่วหมิงเห็นดังนั้นก็ลังเลเล็กน้อย แล้วทำท่ามือแสดงวิชาทะยานเวหาขึ้นมาทันที ก้อนเมฆสีเทารวมตัวกันที่ใต้เท้าของเขา แล้วพาเขาลอยพุ่งขึ้นไป

ผ่านไปสักครู่ รอบด้านลานกว้างของสาขาเก้าทารกก็มีศิษย์ทั้งสายในและสายนอกมารวมกันแล้วเจ็ดสิบแปดสิบคน ทั้งหมดมองดูคนสามคนที่อยู่ตรงกลางลานด้วยสีหน้าที่จริงจัง

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา