“เช่นนี้ก็ดี” นักพรตแซ่สือคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีข้อค้านใดๆ คืนนี้แต่ละฝ่ายต่างก็หาที่พักผ่อนกันเถอะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาอย่างราบเรียบ
จากนั้นแม่ชีก็ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ อีก นางเดินไปข้างเจียหลาน และกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ
เนื่องจากอยู่ไกล ทั้งยังดูเหมือนว่าแม่ชีชุดดำจะกระตุ้นชั้นจำกัดบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำให้เฟิงจ้านและคนอื่นๆ ไม่ยินได้คำพูดที่พวกนางพูด
เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความรักและเมตตา กำลังชี้แนะอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้หญิงสาวงดงามพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เฟิงจ้านกับนักพรตแซ่สือและคนอื่นๆ สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และสั่งให้คนจำนวนหนึ่งยกเว่ยจ้งกับซินหยวนที่หมดสติอยู่ขึ้นไปบนเรือ หลังจากนั้นก็พาหลิ่วหมิงกับเฟิงไฉ่และคนอื่นๆ เดินไปขึ้นเรือ
เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เรือเหาะทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย และพุ่งยิงไปยังเกาะอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ถูกนักพรตแซ่สือ หญิงงดงามแซ่เซียวพาขึ้นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาของตนเอง และทะยานจากไป
พอฝูงชนไปกันหมดแล้ว แม่ชีชุดดำก็สั่งประมุขนิกายวิหคสวรรค์ให้พาคนในนิกายไปตั้งมั่นอยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง พอสะบัดแขนเสื้อ พัดขนนกสีดำก็โผล่ออกมา เมื่อโบกสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ ลมเย็นก็กลายเป็นฉากกำบังล้อมรอบผู้คนอารามชิงสุ่ย เพื่อปิดกั้นอุณหภูมิบริเวณหุบเขาเปลวเพลิงไว้
“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พักผ่อนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว” เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ แม่ชุดดำก็สั่งอย่างราบเรียบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไป
“ทราบ!”
เจียหลานและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็พากันนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ
พอคนของพรรคฉางเฟิงนั่งเรือเหาะสีเงินไปจากหุบเขาเปลวเพลิงแล้ว ก็เดินทางต่ออีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ร่อนลงบนตีนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่ง
ทางเดินเล็กๆ ที่ทอดยาวตามภูเขา มีหินกรวดสีแดงอยู่ทั้งสองด้าน และคดเคี้ยวไปด้านหน้า ตรงจุดสิ้นสุดมีปากถ้ำอยู่รำไร
หลังจากที่ฝูงชนเข้าไปในถ้ำแล้ว ก็ค้นพบว่ามันมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ไม่กี่หมู่เท่านั้น และรอบด้านต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหินย้อยสีน้ำตาลมันวาว รูปทรงแปลกประหลาดยิ่งนัก
ตรงส่วนลึกของถ้ำยังมีโพรงจำนวนมาก ราวกับว่าเป็นถ้ำที่พักของผู้ฝึกฝนที่ถูกละทิ้งไว้ ดูเหมือนว่าจะรองรับคนสิบกว่าคนของพรรคฉางเฟิงได้อย่างเหลือเฟือ
ดูเหมือนเฟิงจ้านจะค่อนข้างพอใจกับสิ่งนี้ พอโบกมือข้างหนึ่ง ธงเล็กสิบกว่าอันก็พุ่งยิงออกไป หลังจากวางค่ายกลง่ายๆ ไว้หน้าปากถ้ำแล้ว ก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ภายในโพรงแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในถ้ำที่คนของพรรคฉางเฟิงพักอาศัยอยู่ เว่ยจ้งกำลังนอนอยู่บนก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้ายังคงแสดงความเจ็บปวดออกมาตลอดเวลา ประจักษ์ชัดว่าจิตรับรู้ยังคงหลงอยู่ในวิชาละเมอฝัน จนไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้
และขณะเดียวกัน ภายในโพรงเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง มีชายสอง หญิงหนึ่งอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ดูเหมือนกำลังเข้าฌานอยู่
และหญิงสาวกลับสวมชุดหลากสีสัน รูปร่างอรชร ใบหน้างดงาม ขณะนี้กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่
พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน และเฟิงไฉ่ที่เป็นบุตรสาวของประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!
เนื่องจากซินหยวนได้รับผลกระทบของวิชาละเมอฝันไม่มาก จึงฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังจ้องมองคนทั้งสองที่กำลังสนทนาอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
วันนี้เฟิงไฉ่เห็นหลิ่วหมิงต่อสู้จนศัตรูแข็งแกร่งพ่ายแพ้ติดต่อกันถึงสามครั้ง ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงขึ้นมา แม้ก่อนหน้านั้นจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่ง และยังเคยสอบถามที่มาของเขากับเฟิงจ้านมาแล้ว แต่นางก็ยังมาหาหลิ่วหมิงทั้งสองถึงที่ และสนทนาพาทีกับพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“วันนี้พี่หลิ่วแสดงอานุภาพได้น่าตกใจมาก! ดูท่าสีหน้าของเหล่าพันธมิตรจินอวี้คงดูไม่ได้เป็นอย่างมาก! ใช่สิ! วิชากระบี่ของพี่หลิ่วก็มีอานุภาพน่าตกใจ ไม่ทราบว่าฝึกมาจากสำนักใด?” หญิงชุดหลากสีจ้องมองหลิ่วหมิง และสอบถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“แม่นางเฟิง ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น วิชาขี่กระบี่ก็เพียงแค่ได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือโดยบังเอิญ จึงเรียนมาเพียงผิวเผิน ไม่คู่ควรแก่การพูดถึง” พอเผชิญหน้ากับคำถามของหญิงสาว หลิ่วหมิงก็จ้องมองนางทีหนึ่ง และตอบด้วยสีหน้าสงบ
“แค่เพียงผิวเผินก็มีอานุภาพน่าตกใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้พันธมิตรจินอวี้ผู้นั้นแสดงวิชาอสรพิษหยกออกมา ท่านพ่อบอกว่า แม้เด็กคนนั้นจะมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่มีพลังแข็งแกร่งมาก เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากในระดับของเหลวขั้นกลางด้วยกัน ยอดฝีมือที่พี่หลิ่วกล่าวถึง จะต้องมีระดับการฝึกฝนสูงมาก ไม่ทราบว่าพอจะมีโอกาสแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่?” หญิงสาวชุดหลากสียังคงพูดคุยไม่หยุด และร่างของนางก็เข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้อ! ยอดฝีมือผู้นั้นไปมาไร้ร่องรอย ข้าเองก็มีวาสนาพบเจอไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใช่สิ! พี่ซิน ท่านฟื้นแล้ว ร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือไม่?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็หันไปถามซินหยวนที่อยู่ด้านข้าง
“ข้าได้รับผลกระทบจากวิชาละเมอฝันไม่ค่อยมาก ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ตอนแรกซินหยวนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รับรู้ได้ในทันที จากนั้นก็ตอบกลับไป
“วันนี้ลำบากสหายซินแล้ว! เฟิงไฉ่ได้ยินก็หันมากล่าวกับซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ห่วงใย น่าเสียดายที่ความสามารถของข้าสู้ผู้อื่นมิได้ วิชาละเมอฝันของหญิงสาวนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นร้ายกาจมาก บวกกับพลังพุทธะยิ่งทำให้ทำลายยากขึ้นไปใหญ่ ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก” ซินหยวนนึกถึงศึกที่ต่อสู้กับเจียหลาน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา