ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 460

สรุปบท ตอนที่ 460: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 460 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 460 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 460 การต่อสู้รอบที่สาม
ตอนที่ 460 การต่อสู้รอบที่สาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่หลิ่วหมิงไม่ได้เอาชีวิตชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าในตอนท้ายนั้น เป็นเพราะว่าประการแรก เขาไม่ได้มีความแค้นกับชายหนุ่มผู้นี้ เพียงแค่อยากชนะเดิมพันการต่อสู้ เพื่อที่จะได้มาซึ่งไผ่ว่างเปล่าเท่านั้น และไม่อยากสร้างศัตรูโดยไม่มีเหตุผล

ประการที่สอง ในใจเขารู้สึกลางๆ ว่า เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ มันไม่ง่ายอย่างที่เห็น ด้วยเหตุนี้ระวังตัวไว้จะดีที่สุด

“การต่อสู้ในครั้งนี้ พรรคฉางเฟิงชนะ!” พอแม่ชีชุดดำเห็นว่าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าหมดสติไปแล้ว นางก็ประกาศผลการต่อสู้ออกมา และยังกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง

ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ขณะนี้ ผู้คนแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่รับชมการต่อสู้อยู่ ต่างก็มองมายังชายหนุ่มที่ค่อยๆ ก้าวออกมาจากค่ายกล เวลานั้นผู้คนต่างก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

เนื่องจากการต่อสู้ในก่อนหน้า มีม่านทรายทองคำบดบังอยู่ ผู้คนจึงไม่รับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน

และตั้งแต่หลิ่วหมิงจมหายไปในม่านทรายทองคำพร้อมกับไอดำที่พุ่งออกจากตัว จนถึงตอนที่ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า พุ่งออกจากม่านทรายด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรงนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ สิ่งนี้ย่อมทำให้เขาดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม

หลิ่วหมิงย่อมสังเกตเห็นสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ และเขาก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจอย่างขมขื่น แต่ก็เดินไปทางพรรคฉางเฟิงด้วยสีหน้าปกติ

อีกด้านหนึ่ง พริบตาที่ประมุขตู๋กูเห็นศิษย์ของตนเองหมดสติ สีหน้าของเขาก็ซีดขาวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เดิมทีคิดว่ามีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่สามารถเอาชนะเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ แต่เพิ่งผ่านไปสองรอบกลับพ่ายแพ้จนหมดสิ้น

และภายใต้สถานการณ์ที่ศิษย์สายตรงฝึกฝนวิชาเก้าอสรพิษหยกสำเร็จ แต่กลับถูกแขกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนของพรรคฉางเฟินโจมตีจนพ่ายแพ้ มันยิ่งทำให้ตู๋กูอวี้หงุดหงิดเป็นพิเศษ

หญิงแซ่เซียวที่อยู่ด้านข้างก็หน้าเขียวปัดขึ้นมา

นักพรตแซ่สือเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกตกใจกับวิธีการที่ดูเหมือนไม่มีวันหมดของหลิ่วหมิงเช่นกัน

เฟิงจ้านก็เดินมารับด้วยความตกใจระคนดีใจ

“สหายหลิ่วลงมือได้ไม่ธรรมดาจริงๆ ตอนนี้คนของพันธมิตรจินอวี้ทั้งสามต่างก็ตกรอบไปหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวิหคสวรรค์สองคนเท่านั้น” เฟิงจ้านหัวเราะและกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงไม่หยุด

หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวอย่างถ่อมตัวไปสองสามประโยค

“สหายหลิ่ว ในขวดนี้มีโอสถหลายเม็ดที่ข้าซื้อมาราคาสูง มันมีผลต่อการฟื้นฟูพลังเวทยิ่งนัก” เฟิงจ้านคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบขวดหยกสีเขียวออกมาให้หลิ่วหมิง แววตาของเขาดูเหมือนจะยังเสียดายอยู่เล็กน้อย

หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด หลังจากรับขวดหยกมาแล้ว ก็ดึงจุกออกทันที ทันใดนั้นกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา พอดมแล้วรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ที่แท้มันก็ไม่ใช่โอสถธรรมดา

เขารีบทานไปหนึ่งเม็ดทันที จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง

หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาสองรอบ ในที่สุดผู้เข้ารอบก็เหลือแค่หลิ่วหมิง และเจียหลานกับชายฉกรรจ์ผมแดงของเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว

ส่วนทางด้านพันธมิตรจินอวี้ หลังจากชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ถูกคัดออกไปก่อน แต่ทว่าประมุขตู๋กูกับหญิงแซ่เซียวกลับไม่คิดจะจากไปเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่คอยสังเกตอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น ดูเหมือนว่าจะรอดูผลของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้

หลังจากที่นักพรตแซ่สือกับแม่ชีชุดดำหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจไม่พักผ่อนอะไรอีก และให้เริ่มจับฉลากรอบที่สามเลย

จากนั้นแม่ชีชุดดำก็ประกาศออกมา และบาตรสีเงินก็ลอยออกมาอีกครั้ง

การจับฉลากรอบที่สาม หลิ่วหมิงย่อมต้องต่อสู้กับหนึ่งในสองคนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงหมายเลขเดียว และมีไผ่ที่ว่างเปล่าอีกหนึ่งอัน

เจียหลานยังคงไปหยิบเป็นคนแรก พอแขนของนางพร่ามัว ก็มีไม้ไผ่อันหนึ่งปรากฏในมือ

“หมายเลขหนึ่ง”

เจียหลานกวาดสายตามองดูไม้ไผ่ในมือ และกล่าวออกมาเบาๆ

ชายฉกรรจ์ผมแดง ก็คว้ามือเข้าไปในบาตร และดูดไม้ไผ่หนึ่งในสองเข้ามาในมือ หลังจากมองดูก็ค้นพบว่าเป็นหมายเลขหนึ่งเช่นกัน จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ทั้งสองเป็นศิษย์นิกายเดียวกัน ตามหลักแล้วจำเป็นต้องจับฉลากใหม่

แต่ก็เกิดผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจขึ้น

จับฉลากติดต่อกันสามครั้ง ชายฉกรรจ์ผมแดงล้วนจับคู่ได้กับเจียหลานทั้งหมด

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เจียหลานที่มีสีหน้าสงบมาโดยตลอด ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน

“สหายหลิ่ว เจ้ามาจับฉลากก่อนเถอะ!” แม่ชีชุดดำเห็นว่าจับฉลากหลายรอบแล้ว ก็ยังได้ผลเช่นเดิม นางจึงรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ในที่สุดก็หันไปกล่าวกับหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขายื่นแขนเข้าไปในบาตรสีเงิน และหยิบไม้ไผ่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอันที่ว่างเปล่า

การจับฉลากครั้งที่สี่ย่อมเป็นโมฆะอีกครั้ง แม่ชีก็ได้แต่ให้หลิ่วหมิงหยิบขึ้นมาใหม่อีกอัน

ในสุดการจับฉลากครั้งที่ห้า หลิ่วหมิงก็จับได้คู่กับชายฉกรรจ์ผมแดง

พอเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์ผมแดงก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา เขารู้ดีว่ามีโอกาสชนะหลิ่วหมิงไม่มาก

“แม้เจ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ในก่อนหน้านั้น ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป หากต่อสู้ไม่ไหว ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทจำนวนหนึ่ง และยอมแพ้ก็พอแล้ว หากบีบคั้นให้เขาแสดงวิธีการอื่นๆ ออกมาได้ก็ยิ่งดี ข้าจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าอยู่ข้างๆ” แม่ชีชุดดำรับรู้ถึงความกังวลของชายฉกรรจ์ผมแดง จึงส่งเสียงไปบอกกับเขา

พอชายฉกรรจ์ผมแดงได้ยินเช่นนี้ ถึงมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็เดินไปกลางค่ายกล

และหลิ่วหมิงก็ได้ยืนรออยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าสงบแล้ว

ชายฉกรรจ์ผมแดงเดินมาตรงหน้าหลิ่วหมิง พอสะบัดแขนเสื้อ แท่งหยกสีเขียวแวววาวก็ปรากฏออกมา พอปล่อยพลังออกไป มันก็หลุดออกจากมือ และหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ จุดแสงสีเขียวบริเวณรอบๆ เริ่มเกาะตัวเข้าด้วยกัน

“ฟู่!”

เขาหยิบยันต์สีเงินผืนหนึ่งออกมาขยี้จนแตกกระจุย จากนั้นก็ตบเข้าไปในร่าง

โล่เล็กเปล่งประกายแสงออกมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีดำราวกับหมึก มีลวดลายสีเลือดปรากฏอยู่บนนั้นรำไร

“เพล้ง!”

แสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้า โล่ยักษ์สีดำที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษสั่นไหวอย่างรุนแรง ใจกลางโล่ถูกสายรุ้งสีเงินฟันจนกลายเป็นรูเล็กๆ แต่ครู่ต่อมาหมอกโลหิตก็พวยพุ่ง พริบตาเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

สายตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา พอทำท่ามือกระตุ้นอีกครั้ง กระบี่สีเงินก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และส่งเสียงดังออกมา จากนั้นก็ฟันใส่โล่สีดำอีกครั้ง

ครู่ต่อมา มีเสียงแตกหักดังขึ้น!

ลวดลายบนโล่เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็แตกกระจายออกมา

ชายฉกรรจ์ผมแดงรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ทะลักเข้ามาได้ทันที ร่างของเขาร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างช่วยไม่ได้

และหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็พร่ามัวขึ้นมาทันที และกระพริบมาอยู่ตรงหน้าชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็โจมตีออกไป

ปราณแกร่งคุ้มร่างชายฉกรรจ์ผมแดงสลายไปทันที ร่างของเขาร่นถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นก็โซซัดโซเซกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

“หยุด……หยุด……พลังจิตของสหายน่าตกใจมาก ข้าน้อยยอมแพ้” ขณะที่หลิ่วหมมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าชายฉกรรจ์นั้น เขาก็โบกไม้โบกมือยอมแพ้ในทันที

หลิ่วหมิงได้ยินก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา จากนั้นไอดำบนมือก็สลายไป

ชายฉกรรจ์ผมแดงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาทันที ร่างของเขาระโหยโรยแรงจนถึงขีดสุด

“พรรคฉางเฟิงชนะ!”

แม่ชีชุดดำรู้สึกไม่พอใจมาก แต่ก็จำเป็นต้องประกาศออกมา

“ท่านออมมือแล้ว!”

หลิ่วหมิงกล่าวกับชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็หันตัวเดินไปทางพรรคฉางเฟิง

เฟิงจ้านย่อมให้กำลังใจหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเบิกบานอีกครั้ง

ชายฉกรรจ์ผมแดงที่หมดพลังไปนานแล้ว ก็ถูกศิษย์นิกายวิหคสวรรค์สองสามคนพยุงออกไป ในระหว่างนั้นก็ทานโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปด้วย

“วันนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว สหายหลิ่วจากพรรคฉางเฟิงกับเจียหลานจากนิกายวิหคสวรรค์ ก็ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ย่อมสูญเสียพลังไปไม่น้อย การต่อสู้รอบสุดท้ายสำคัญมาก หากวันนี้ต่อสู้อีกก็ดูไม่เป็นธรรม ข้าขอเสนอให้พรุ่งนี้ค่อยเดิมพันการต่อสู้รอบสุดท้าย ไม่ทราบทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?” แม่ชีชุดดำพูดว่า ‘ทุกท่าน’ แต่สายตากลับมองไปที่นักพรตแซ่สือ

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา