ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 467

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 467 ยอดเขาเมฆาหยก
ตอนที่ 467 ยอดเขาเมฆาหยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าผู้น้อยคงจะคาดหวังมากไปจริงๆ แต่ว่าห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ จะดูดกลืนพลังเวทอีกครั้งเมื่อใดนั้น หวังว่าผู้อาวุโสจะบอกเล็กน้อย เช่นนี้แล้วผู้น้อยจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก หลังจากยิ้มอย่างขมขื่นแล้ว ก็กล่าวออกมาเช่นนี้

“การดูดกลืนพลังเวทในครั้งหน้า คงใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่ด้วยพลังเวทของเจ้าในตอนนี้ เพียงแค่สูญเสียอายุขัยเล็กน้อย ก็คงเพียงพอแล้ว” หลัวโหวได้ยินก็จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงตอบกลับไปอย่างทื่อๆ

พอได้ยินว่ามีเวลาแค่ปีครึ่งเท่านั้น และยังต้องสูญเสียอายุขัยด้วย หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ขณะที่จะถามอะไรต่อนั้น หลัวโหวกลับพูดออกมาอย่างราบเรียบ “ด้านนอกมีคน” จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อในทันที

หลิ่วรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในจิตรับรู้ ภาพตรงหน้าพร่าวมัวชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนั้น กลับค้นพบว่าตนเองกลับเข้ามาในห้องที่พักแล้ว

ขณะนั้นเองมีเสียงเคาะประตูดัง “ปังๆ!” พอหลิ่วหมิงสงบจิตแล้ว ก็ลงจากเตียงไปเปิดประตู

เจียหลานที่สวมชุดสีเหลืองทั้งตัวยืนอยู่หน้าประตู

สีหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ขยับไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้นาง

แต่คำพูดแรกที่นางพูดออกมาเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนั้น กลับทำให้หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสีทันที

“สหายหลิ่ว พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”

หลิ่วหมิงจ้องมองใบหน้างดงามละเอียดละออ และไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากเจียหลานเอ่ยปากออกมาแล้ว นางก็จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ และเริ่มเล่าให้นางฟังตั้งแต่ทั้งสองเข้าร่วมนิกายปีศาจพร้อมกัน เรื่องที่นางมีเลือดผสมของเผ่าเจ้าสมุทร เรื่องศึกเผ่าเจ้าสมุทรในตอนท้าย จนกระทั่งเรื่องที่ถูกราชาปีศาจสมุทรจับตัวไป

เจียหลานฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา

ท่าทีของเจียหลานในครั้งนี้ ย่อมทำให้หลิ่วหมิงจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

……

และในขณะเดียวกัน ภายในวิหารบนยอดเขาเมฆาหยกของนิกายยอดบริสุทธิ์

“อะไรนะ! มีข่าวเกี่ยวกับลิ่วยิน ศิษย์สายตรงของนิกายเรา ที่หายตัวไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว?” ชายหน้าขาวที่ดูมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ชายผู้นี้สวมชุดสีดำ บนศีรษะมีเครื่องหยกสีเขียวประดับอยู่ และกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักในห้องโถง ในมือถือมุกกลมๆ สีเขียวอยู่

“ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จแน่นอน หากไม่ใช่ว่าสหายอวี้ชิงจากสำนักเสียงมหัศจรรย์มาบอกข่าวนี้ ใครจะคาดคิดว่าศิษย์สายตรงผู้นี้ จะซัดเซพเนจรไปไกลถึงเพียงนั้น ทั้งยังก่อตั้งนิกายเล็กๆ ขึ้นมาเอง” เด็กชายชุดคลุมสีเทาหน้าตางดงาม ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทางด้านซ้ายกล่าว คำพูดของเขาดูเหมือนผู้ใหญ่มาก

ขณะที่พูด เด็กชายก็พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นหยกออกมาอันหนึ่ง และโยนออกไป

นักพรตหน้าขาวยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็นำมาวางไว้บนหน้าผาก และส่งจิตเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด

เด็กชายชุดคลุมสีเทาเห็นเช่นนี้ก็กล่าวต่อ

“อ้อ! ศิษย์พี่หลู ข้าได้อ่านดูประวัติของนิกายเราอย่างละเอียดแล้ว หลายพันปีก่อน ลิ่วยินศิษย์สายตรงของนิกายเราผู้นี้ ไปทำภารกิจทดสอบขั้นสูงบางอย่างของนิกาย สุดท้ายถูกม้วนตัวเข้าไปในพายุกลางอากาศโดยไม่ตั้งใจ และหายตัวไปนับแต่นั้น แต่เพราะว่าไฟวิญญาณที่อยู่ในนิกายตอนนั้นยังไม่เคยดับลง ดังนั้นจึงไม่ถูกลบชื่อออกจากนิกายในทันที จนกระทั่งผ่านไปหลายร้อยปี ไฟวิญญาณค่อยๆ สูญสิ้นไป ถึงโดนถอดออกจากการเป็นศิษย์สายตรง และให้ศิษย์คนอื่นมาแทน”

เด็กชายเล่ามาถึงจุดนี้แล้ว ก็ถอนหายใจก่อนที่จะเล่าต่อ

“ตามเวลาที่ลิ่วยินกลายเป็นศิษย์สายตรงในปีนั้น กับคำวิจารณ์ของนิกายเราในระหว่างนั้น ถ้าหากเขาสามารถฝึกฝนกับศิษย์สายตรงคนอื่นได้อย่างราบรื่น ก็อาจจะเป็นอาจารย์อาของพวกเราก็ได้ แม้กระทั่งอาจจะได้เข้าไปในวิหารตาข่ายฟ้า”

“ศิษย์น้องเฮ่าเยวี่ย ในเมื่อปีนั้นลิ่วยินไม่ผ่านการทดสอบ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีวาสนาพอ นิกายเราไม่คำว่า ‘ถ้าหาก’ แต่จะว่าตามหลักแล้ว สหายอวี้ชิงเพียงแค่บอกให้พวกเราทราบก็พอ นี่ยังต้องมาด้วยตนเองอีก เกรงว่าคงมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจัดการด้วยตนเองได้” ชายหน้าขาวมองดูแผ่นหยกในมือแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“ศิษย์พี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก สหายอวี้ชิงบอกว่าที่นางพบศิษย์นิกายปีศาจผู้นี้ เป็นเพราะว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของนิกายเรา และตามกฎของนิกายแล้ว วิชานี้มีแค่ศิษย์สายในของนิกายเราเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนได้ แต่จากการที่สหายอวี้ชิงสอบถามมา เจ้าเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงผู้นี้ ดูเหมือนจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งด้วย” เด็กชายกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่ว่ามีแค่ศิษย์สายตรงในนิกายเราเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนได้ และในเมื่อหลิ่วหมิงผู้นี้เป็นผู้สืบทอดของลิ่วยิน เกรงว่าอาจารย์อา อาจารย์ลุงทั้งหลาย ต่างก็ให้ความสนใจในจุดนี้ หากจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าเจ้ากับข้าอาจถูกคนครหาได้ ข้าว่าพรุ่งนี้เรียกหลิ่วหมิงผู้นั้น ขึ้นมาพบบนยอดเขาสักหน่อยจะดีกว่า” ชายหน้าขาวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก และครุ่นคิดอยู่นาน

“ศิษย์พี่คิดได้รอบคอบมาก พรุ่งนี้ข้าจะไปนำผู้สืบทอดของลิ่วยินผู้นั้นขึ้นมาพบท่าน” เด็กชายพยักหน้า

เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงเพิ่งลุกขึ้นมาก็พบกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนแล้ว แขกผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดดำที่ดูมีอายุยี่สิบต้นๆ แต่กลิ่นไอบนตัวหนาแน่นมาก ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย

เดินทีคิดว่าอายุขนาดเขา สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ ก็นับว่ามีพรสวรรค์เหนือคนอื่นใดในแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว แต่ตั้งแต่เขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาไม่นาน ความรู้สึกเหนือชั้นเล็กน้อยเหล่านี้ ก็หายไปโดยสิ้นเชิง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา