หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่ากระแสความร้อนเหล่านี้ไหลผ่านไปทั่วทุกจุด จนดูเหมือนมันจะมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายในร่างของเขา
จากนั้นกระแสความร้อนก็เริ่มเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ในทะเลจิตวิญญาณเป็นสถานที่อยู่อาศัยของฟองอากาศลึกลับ เขาไม่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้จะสัมผัสได้หรือไม่ หากถูกเด็กชายผู้นี้ค้นพบเข้าล่ะก็……
แต่ครู่ต่อมา กระแสความร้อนก็หมุนวนบริเวณรอบๆ ทะเลจิตวิญญาณหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของฟองอากาศลึกลับแต่อย่างใด
“เฮ้อ……”
เด็กชายมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ส่งเสียงให้ชายหน้าขาว
“ศิษย์ผู้นี้มีคุณสมบัติด้อยมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ต่อให้กายเนื้อจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ร่างจิตวิญญาณอะไร ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝึกฝนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ คาดว่าคงจะทานโอสถเป็นจำนวนมาก”
“หากเป็นเช่นนี้ อาศัยแค่พลังของโอสถในการยกระดับพลัง ก็เป็นการฝืนกฎเกณฑ์การพัฒนาเกินไป มาจนถึงระดับเขตแดนนี้ ก็คงไม่ค่อยมีพลังที่มีศักยภาพมากนัก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่คุ้มที่เจ้ากับข้าจะเปลืองแรงบ่มเพาะแล้ว ศิษย์สายในของยอดเขาเมฆาหยกก็มีไม่น้อย ทรัพยากรที่ทางนิกายแบ่งมาให้คงไม่เพียงพอ” พอชายหน้าขาวได้ยิน ก็กล่าวด้วยความเสียดายเล็กน้อย
“ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง นอกจากนี้บริเวณทะเลจิตวิญญาณของคนผู้นี้ ยังมีร่องรอยการระเบิดตัวของตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ก่อตัวแล้ว ดูท่าต่อไปคงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งได้อีก” เด็กชายส่งเสียงต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นำเรื่องนี้ไปรายงานหอคุมกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ ให้พวกเขาตัดสินก็พอแล้ว” ชายหน้าขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่เด็กผู้นี้เคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จะจัดการอย่างไรดี เพราะเขาได้วิชามาจากลิ่วยิน ก็สามารถพูดได้ว่า ได้รับวิชามาจากยอดเขาเมฆาหยกโดยทางอ้อมเช่นกัน หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกรงว่าจะทำให้ผู้คนครหาได้” เด็กชายคิดใคร่ครวญแล้วกล่าวออกมา
“เรื่องเหล่านี้ใยข้ากับเจ้าต้องพิจารณาด้วยเล่า จะจัดการอย่างไรนั้น ทางหอคุมกฎก็มีกฎที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเจ้าพวกที่อยู่หอคุมกฎ กลัวคนครหายิ่งกว่าพวกเราอีก” ชายหน้าขาวหัวเราะเยือกเย็นแล้วส่งเสียงกลับไป
“ศิษย์พี่เฉียบแหลมยิ่งนัก!” เด็กชายเข้าใจในทันที และตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
หลิ่วหมิงรออยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทั้งสองส่งออกไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น จนเขาต้องเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ดูท่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณสมบัติของเขาก็ไม่ดีพอ
เมื่อหลิ่วหมิงออกจากวิหารใหญ่แล้ว ชายหน้าขาวก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด และผนึกไว้ในแผ่นหยกอันหนึ่ง จากนั้นก็ให้ชายชุดดำในก่อนหน้านั้นนำไปส่งที่หอดำเนินการ และก็นับว่าเรื่องนี้ได้สิ้นสุดแล้ว
หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักไม่นาน อวี้ชิงซือไท่ก็พาเจียหลานออกไปจากหอ
เช้าตรู่วันที่สาม ก็มีชายใบหน้าเคร่งขรึมมาอยู่หน้าประตู
ชายผู้นี้ใช้สายตาเคร่งขรึมสังเกตดูหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายคำสั่งหอคุมกฎออกมาโบก และกล่าวอย่างราบเรียบ
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงสินะ ข้าเก่อหลินจากหอคุมกฎ ที่มาวันนี้เพื่อถ่ายทอดคำตัดสินของหอคุมกฎให้กับเจ้า”
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ ดูท่าเรื่องที่คนผู้นี้จะพูดคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“จากการตรวจสอบของนิกาย เจ้าเป็นผู้สืบทอดของนิกายเล็กๆ ซึ่งลิ่วยินที่เป็นศิษย์นิกายเราได้สร้างไว้ เจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ คำตัดสินแรก เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งเป็นคัมภีร์ลับของนิกายเรา เจ้าเป็นคนนอกไม่คุณสมบัติที่จะฝึกฝน เดิมทีควรจะทำลายวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่จากการตรวจสอบ ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่เจ้าบ่มเพาะขึ้นมาได้เสียหายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าถูกทำลายไปแล้ว จึงสามารถละเว้นการดำเนินการในเรื่องนี้ได้”
พอชายหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดพักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรออกมา
“คำตัดสินที่สอง เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็เป็นวิชาที่ต้องเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถฝึกฝนได้ เจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังไม่มีความรู้มาก่อน แต่ก็ฝึกฝนวิชานี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสามารถยืดหยุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และผู้อาวุโสของหอคุมกฎได้หารือเรื่องนี้กันแล้ว ตอนนี้ให้เจ้าสองทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งก็เหมือนกับเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ให้ทางหอคุมกฎทำลายความสามารถที่เกี่ยวข้อง และเปลี่ยนเป็นวิชาที่เหมาะสมอื่นๆ ที่นิกายจะมอบให้ บวกกับโอสถจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยให้เจ้าฝึกฝนถึงจนถึงระดับหนึ่ง ทางเลือกที่สอง นิกายเราสามารถยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อไป แต่เคล็ดวิชานี้ เป็นวิชาลับของนิกายเรา ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องส่งมอบหนึ่งล้านแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์ และจ่ายให้ครบภายในร้อยปี เพื่อเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากในการแลกเปลี่ยนกับวิชานี้ จากนี้ไปทางนิกายจะไม่สืบหามูลเหตุของเรื่องนี้อีก หากถึงเวลาแล้วยังไม่สามารถชำระได้หมด จะยังคงใช้ทางเลือกที่หนึ่งในการจัดการ”
ศิษย์หอคุมกฎผู้นี้ พูดคำพูดทั้งหมดออกมาภายในอึดใจเดียว จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และรอคำตอบรับจากเขา
“ศิษย์เลือกทางเลือกที่สอง”
หลิ่วหมิงฟังจบ ก็ดูเหมือนจะไม่ลังเลที่จะเลือกทางเลือกที่สอง
ตั้งแต่เขาควบแน่นไอปีศาจสำเร็จ ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงวันนี้ แม้จะบอกว่าหากทำลายไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนเป็นวิชาอื่นที่เหมาะสมได้ แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อานุภาพของมันจะต้องห่างชั้นจากสุดยอดวิชาอย่างเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หลังจากทำลายวิชาไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดภัยพิบัติแฝงมาก็ได้ เหมือนกับตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในก่อนหน้านั้น ตอนนี้เขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปได้อีก
จุดที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ฟองอากาศลึกลับในร่างหลิ่วหมิง จะดูดกลืนพลังเวทอีกครั้งในอีกหนึ่งปีครึ่ง หากทำลายเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬไปในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าตัดสินโทษตายให้กับตัวเอง
ส่วนแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งล้านแต้มนั้น ก็ได้แต่ดำเนินการไปทีละขั้นตอนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีเวลาชำระร้อยปี คงไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป หลิ่วหมิงได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
ชายวัยกลางคนได้ยินก็พยักหน้า ประจักษ์ชัดว่าการเลือกของหลิ่วหมิงอยู่ในการคาดการณ์ของเขา ทันใดนั้นเขาก็ประกาศคำตัดสินข้อที่สามของหอคุมกฎต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา