ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เดินเข้าไปในห้องหิน และเดินตามบันไดหินที่ลาดเอียงลงไปยังด้านล่าง
หลิ่วหมิงเดินตามติดจูชื่อตลอดทาง และสำรวจดูรอบด้านอยู่ไม่หยุด
บันไดทั้งหมดนี้ทำจากหินสีเขียว และผนังด้านข้างมีที่ตั้งตะเกียงที่ทำจากหินติดอยู่ โดยเว้นห่างเป็นช่วงๆ ทำให้บริเวณนั้นดูสว่างขึ้น
พวกเขาเดินลึกลงไปสามสิบกว่าจั้ง แสงสว่างไสวก็ปรากฏตรงด้านหน้า พวกเขาเดินเข้าไปในใจกลางห้องโถงใหญ่ที่มีทางเดินเชื่อมไปยังทุกทิศทาง
รอบห้องโถงนี้มีประตูหินทรุดโทรมเปิดอยู่บานหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเชื่อมไปยังทิศทางใด
ชายหนุ่มที่นำทางอยู่ด้านหน้ากลับเลี้ยวไปทางซ้ายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่พอพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกล ก็มีห้องโถงแบบเดียวกันกับก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมา และยังมีเส้นทางเชื่อมต่อไปทุกทิศทางเหมือนกัน
สถานที่แห่งนี้เป็นเขาวงกตเล็กๆ ใต้ดินที่มีคนสร้างขึ้นมา
แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์หุบเขาเก้าช่องสำรวจที่นี่จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ศิษย์ที่นำทางแค่พาพวกหลิ่วหมิงเลี้ยวซ้ายวนขวาไม่นาน ก็ปรากฏบานประตูทองแดงสีแดงแก่ตรงด้านหน้า
พอจูชื่อและนักพรตกูเห็นบานประตูทองแดงนี้ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เสียงดัง “แอ๊ด!”
ประตูทองแดงที่เดิมปิดแน่นอยู่ ก็ค่อยๆ เปิดออกหลังจากที่ถูกศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องออกแรงผลัก
ดูจากการออกแรงของพวกเขา ราวกับว่าประตูบานนี้หนักกว่าหมื่นชั่งขึ้นไป
พอประตูทองแดงเปิดออก ไอร้อนระอุก็กระจายออกมาทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ตามติดมาต่างก็สะดุ้งตกใจกันอย่างมาก
และพอจูชื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนหลังบานประตูนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แต่ครู่เดียวก็เดินเข้าไปกับนักพรตจงอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงเดินตามติดเข้าไป พอสำรวจดูรอบด้าน เขาก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ที่นี่เป็นโพรงใต้ดินขนาดกว้างหลายหมู่ บนพื้นปูด้วยแผ่นหินสีเขียว รอบด้านมีผลึกหินสีแดงจางๆ ตรงกลางมีต้นไม้สีแดงระเรื่อสูงจั้งกว่าๆ อยู่ต้นหนึ่ง บนนั้นมีผลกลมๆ สีเขียวหยกขนาดเท่าลูกกำปั้นติดอยู่เต็มไปหมด ดูเหมือนจะมีทั้งหมดสามสิบกว่าผล
ต้นไม้ทั้งต้นถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีฟ้าจางๆ แต่พื้นดินสีแดงดำบริเวณรากไม้ มีไอร้อนประทุออกมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนที่อยู่ภายในโพรงรู้สึกราวกับว่าอยู่ข้างเตาเผาขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นจูชื่อหรือนักพรตจง ต่างก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นบรรยากาศเหล่านี้
แต่จูชื่อกลับมองต้นไม้ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาช้าๆ
“เหมือนที่ข้าคาดไว้แต่แรกไม่มีผิด ผลจิตวิญญาณสุกไม่นาน ก็เป็นวันที่ไฟจากใต้พื้นพิภพประทุออกมา ช่างเสียดายต้นไม้นี้จริงๆ มิเช่นนั้นแค่รออีกไม่กี่ปีก็ได้เก็บผลหยกสวรรค์อีกครั้งแล้ว”
“ถ้าไม่สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ข้ากับเจ้าคงไม่รามือจากต้นจิตวิญญาณนี้โดยง่าย ไหนเลยจะมีวันนี้ที่ต้องมาแบ่งผลจิตวิญญาณกันอย่างเกรงอกเกรงใจ” ต้าจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รอไฟใต้พิภพประทุออกมา เกาะสยบมังกรทั้งเกาะก็ดำรงอยู่ไม่ได้อีกแล้ว และต้นจิตวิญญาณที่ถูกปลูกไว้ที่นี้มานานหลายปี พอไม่มีไฟใต้พิภพหล่อเลี้ยงก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นไฟ ใยจะต้องแย่งชิงกันด้วยเล่า! เอาล่ะ! ข้าได้สำรวจไปแล้ว ผลจิตวิญญาณบนต้นมีทั้งหมดสามสิบสามผลเหมือนกับตอนแรกที่เห็นโดยไม่หายไปแม้แต่ผลเดียว ต่อไปก็มาคุยกันเรื่องการประลองต่อสู้กันเถอะ” นักพรตจงกล่าวออกมา
“ข้าและศิษย์ย่อมไม่ต้องการประลองต่อสู้ที่ซับซ้อน ในเมื่อมีผลจิตวิญญาณสามสิบสามผล งั้นก็แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีสิบเอ็ดผล โดยผู้ชนะไปเก็บผลด้วยตนเองดีไหม แน่นอนว่านี่เป็นแค่การประลอง ถ้าหากในระหว่างการต่อสู้มีศิษย์ฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตพวกเราก็ยื่นมือเข้าไปห้าม แต่ว่าพอยื่นมือไปแล้วเท่ากับว่ายอมรับการพ่ายแพ้ของศิษย์ตนเอง” ต้าซั่งกล่าว
“สหายต้าซั่งดูเหมือนจะคิดการณ์ได้รอบคอบ ข้าจูชื่อไม่ขอคัดค้านใดๆ แต่ท่านทั้งสองคงจะไม่อนุญาตให้ศิษย์ใช้หุ่นขั้นสูง ถ้าหากว่าในการต่อสู้ศิษย์ของท่านใช้หุ่นขั้นสามหรือขั้นสามขึ้นไปก็นับว่าพ่ายแพ้การประลองรอบนั้น” จูชื่อกล่าวด้วยตาเป็นประกาย
“เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ต้าจื้อตอบรับด้วยความเต็มใจ
ดังนั้นเมื่อทั้งสองปรึกษากันไม่กี่ประโยคแล้ว ต้าซั่งก็เอาขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น ปลายเท้าจมลึกไปบนพื้นหลายชุ่น จากนั้นก็ขยับร่างโดยฉับพลัน ร่างแกว่งไหวเลือนลางอยู่แถวนั้นครู่หนึ่ง วงกลมขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ ก็ถูกวาดขึ้นบนพื้นหินแข็ง
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็เกิดอาการตกตะลึง
ผู้อาวุโสท่านนี้มีรอยย่นเต็มใบหน้าจนดูเหมือนแก่ง่อมเป็นอย่างมาก แต่เท้าทั้งสองกลับว่องไวดูไม่เหมือนกับเนื้อหนังที่เหี่ยวย่น
“เอาล่ะ ผู้ที่ยอมแพ้ ผู้ที่ออกจากวงกลม ผู้ที่ไม่สามารถทำการต่อสู้ต่อไปได้ ถือว่าแพ้! ตอนนี้ต่างฝ่ายสามารถส่งศิษย์หนึ่งคนเข้าไปในวงกลมเพื่อทำการต่อสู้ได้” ผู้อาวุโสต้าซั่งออกจากวงกลมแล้วกล่าวขึ้น
และพอสิ้นสุดเสียง ดรุณีเสื้อแขนสั้นอายุสิบห้าสิบหกปีก็เดินออกมาจากกลุ่มศิษย์หุบเขาเก้าช่อง มีถุงหนังสีเหลืองติดอยู่ ถักผมเปียเล็กๆ เจ็ดถึงแปดเส้น ดวงตาแวววาวทั้งคู่ ปากเล็กๆ ยกขึ้นเล็กน้อย หน้าตาค่อนข้างสวยงาม
“อวี๋เฉิง ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น เจ้าไปประลองก่อนเถอะ” จูชื่อดูท่าทางของดรุณีน้อยแล้วระบุชื่อผู้ประลองออกไป
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดใช้แผนอะไรแล้ว ถ้าหากว่าพวกเขาส่งศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางอย่างเซียวเฟิงหรือหลิ่วหมิงลงไป ถึงแม้รอบแรกจะมีโอกาสชนะแปดถึงเก้าส่วน แต่ก็เท่ากับว่ายอมแพ้ในอีกสองรอบที่เหลือ แบบนี้จะทำลายชื่อเสียงของตนเองและไม่อาจได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ได้ เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จูชื่อและนักพรตจงอยากให้เกิดขึ้น
อวี๋เฉิงรับคำ แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าฮึกเหิม และพอเดินเข้าใกล้วงกลม ร่างของเขาก็ปรากฏรัศมีแสงสีเหลืองออกมาทันที
ดรุณีน้อยเห็นดังนั้นก็เม้มปากยิ้ม มือข้างหนึ่งล้วงไปหยิบลูกกลมๆ สีเหลืองบนเอวโยนออกไป
หลังจากเสียงดัง “ปัง” ลูกกลมๆ สีเหลืองขยายใหญ่ขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นอสรพิษสีดำขนาดยาวหกฉื่อขึ้นไป เกล็ดสีดำมืดมิดสะท้อนแสงเย็นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ามันคือหุ่นอสูร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา