ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 48

สรุปบท ตอนที่ 48: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 48 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 48 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 48 การต่อสู้ 2-3
ตอนที่ 48 การต่อสู้ 2-3
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หลานสาวคนโปรดของไต้ซือหนาน?”

พอได้ยินคำพูดนี้จากต้าจื้อ จูชื่อและนักพรตจงต่างก็มองหน้ากันแล้วแสดงสีหน้าเจื่อนๆ ออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าไต้ซือหนานที่พวกเขากล่าวถึงคือใคร

พออวี๋เฉิงเห็นว่าดรุณีน้อยไม่เป็นอะไรก็รู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ใจฝ่อแต่อย่างใด เขาเริ่มร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวก็ยกมือทั้งสองขึ้น มือแต่ละข้างสะบัดคมวายุสีเขียวออกมา จากนั้นพอเขากำฝ่ามือคมวายุก็พุ่งตรงไปหาดรุณีน้อย

ดรุณีน้อยเห็นดังนั้นก็ไม่ได้กระตุ้นหุ่นอสูรอสรพิษ แต่กลับทำเสียงฮึดฮัดแทน โล่สีเหลืองแดงกับยันต์สีแดงระเรื่อในมือก็เลือนหายไปพร้อมกันแทนที่ด้วยยันต์สีเหลืองหลายผืน มันแค่สั่นไหวตามลมก็มีลูกไฟหกลูกพุ่งยิงติดต่อกันออกไป

อวี๋เฉิงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว

ดินสีเหลืองหนาๆ บนร่างเขาทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วเท่าก่อนหน้านี้ ลูกไฟด้านหน้าสองลูกปะทะกับคมวายุและกะพริบดับไป ลูกที่สามสี่พุ่งมายังบนร่างที่สวมเกราะพิภพของเขาทำให้ร่างของเขาถอยร่นออกไป

แต่พอลูกที่ห้ากับหกที่ดูเหมือนจะมาถึงพร้อมกันนั้น อวี๋เฉิงถึงจะบังคับตัวเองให้คว้ามีดสั้นสกัดออกไปได้ลูกหนึ่ง อีกลูกที่เหลือพุ่งประทะบนร่างเขาอย่างรุนแรง

ครั้งนี้เขาร้องอย่างน่าเวทนา เกราะพิภพบนตัวแตกกระจาย ทำให้ร่างของเขาตกอยู่ใต้เปลวไฟ

“เฮ้อ! รอบนี้พวกข้ายอมแพ้!”

มีเสียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา

จูชื่อที่อยู่นอกวงกลมรีบเคลื่อนตัวไปยังด้านข้างเด็กหนุ่มผมแดงอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดแขนเสื้อลมพายุก็โหมกระหน่ำพัดเปลวไฟจนดับสนิท

จูชื่อจ้องมองดรุณีน้อยแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

ตอนนี้อวี๋เฉิงถูกช่วยได้ทันเวลา ถึงแม้เส้นผมและคิ้วต่างก็ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งหนึ่ง ร่างทั้งร่างดูดำเกรียมไปหมด แต่นอกจากแผลพุพองเล็กน้อยบนผิวหนังแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรรุนแรง

แต่เขากลับหน้าม่อยคอตก ตอนที่เขาเดินออกไปกับจูชื่อ

เขาแพ้ในครั้งนี้ ด้านหนึ่งเพราะว่าไม่มีใครคาดคิดดรุณีน้อยแซ่หนานจะมียันต์มากมายขนาดนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งย่อมเป็นเพราะว่าเขาแสดงวิชาผิดพลาดทำให้ถอดเกราะพิภพที่อยู่บนตัวไม่ทัน ทำให้ร่างกายหนักอย่างหาที่เปรียบมิได้ มิเช่นนั้นจะไม่แพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

ตอนที่เขาฝึกฝนวิชาบนเขาเก้าทารกเขาไม่เคยแสดงวิชาเกราะพิภพมาก่อน เดิมทีกะจะใช้มันเอาชนะในการประลอง คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วมันกลับเป็นสาเหตุของการพ่ายแพ้

ทำให้จูชื่อรู้สึกไม่ดีต่อเด็กหนุ่มผมแดง

การประลองรอบที่สอง หุบเขาเก้าช่องยังไม่ได้ส่งคนเข้าลานประลอง เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามรอให้พวกเขาส่งศิษย์ออกไปหนึ่งคนก่อน แล้วถึงจะเลือกศิษย์ออกไปต่อสู้

“ชงเทียน เจ้า…”

“ช้าก่อนศิษย์น้อง! รอบนี้ให้เฟิงเอ๋อร์ไปเถอะ”

ตอนที่นักพรตจงกำลังเรียกหลิ่วหมิงออกไปนั้น จูชื่อกลับพูดขัดขึ้นมา

“ความหมายของศิษย์พี่คือ…” นักพรตจงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“ถ้าหากการประลองทั้งสองรอบล้วนพ่ายแพ้ มันจะสร้างความกดดันให้เฟิงเอ๋อร์ค่อนข้างมาก ยังไงฝ่ายตรงข้ามก็คิดที่จะเอาชนะทั้งสามรอบอยู่แล้ว พวกเขาจะต้องส่งเจ้าเด็กจินอวี่นั่นมารับมือกับเฟิงเอ๋อร์แน่นอน ไม่สู้ส่งฟงเอ๋อร์ไปตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า” จูชื่อกล่าว

“ศิษย์พี่กล่าวมาก็มีเหตุผล เฟิงเอ๋อร์เจ้าคิดว่าอย่างไร…” นักพรตจงคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า หันไปถามเซียวเฟิง

“อาจารย์อา อาจารย์อาหญิงวางใจเถอะ ไม่ว่าหุ่นของเจ้าจินอวี่จะเป็นอะไรข้าก็จะไม่แพ้เป็นอันขาด” เซียวเฟิงกล่าวด้วยความมั่นใจ

“อือ! เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชานั้นสำเร็จแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้คงจะได้เปรียบเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลงไปประลองก่อนเถอะ” นักพรตจงเห็นด้วยในที่สุด

เซียวเฟิงยิ้ม แล้วเดินออกไปอย่างมั่นใจ

จูชื่อกับนักพรตจงก็ส่งสายตามองไปทางฝั่งตรงข้าม

ศิษย์ที่เดินออกมาก็คือชายหนุ่มใบหน้าหมองหม่นที่ชื่อจินอวี่นั่นเอง

ทั้งสองใจเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ตามที่พวกเขาทราบข่าวมา ตอนพิธีเปิดจิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่อง เด็กหนุ่มที่ชื่อจินอวี่ผู้นี้ถึงแม้จะมีแค่หกชีพจรจิตวิญญาณ แต่เพราะว่ามีพรสวรรค์หนึ่งจิตหลายพลังจึงถูกบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณแย่งชิงกันยิ่งกว่าศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณทั่วไป หลังจากกราบต้าซั่งต้าจื้อเป็นอาจารย์แล้วก็ถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแล้ว

หลิ่วหมิงเห็นความกังวลของทั้งสอง ในใจก็รู้สึกขมขื่น

ดูเหมือนทั้งสองไม่ค่อยคาดหวังกับการประลองในรอบสุดท้ายของเขา แต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเซียวเฟิง ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ถามความคิดเห็นของเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียว

การที่ถูกไม่ให้ความสำคัญนี้ ถึงแม้เขาจะตั้งใจทำให้มันเป็นเช่นนั้นตั้งแต่อยู่เขาเก้าทารก แต่ตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจบ้างแล้ว

“เจ้ามีวิธีการอะไร รีบแสดงออกมาให้หมดเถอะ มิเช่นนั้นพอข้าลงมือเจ้าก็จะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว” พอจินอวี่เดินเข้าสู่วงกลมก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ฮึ! คำพูดนี้ข้าเองก็กำลังคิดที่จะพูดกับเจ้าเหมือนกัน” เซียวเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหมาก เขาขยับแขนทันที หลังจากที่มีภาพเลือนลางเกิดขึ้น พลันปรากฏดาบยาวสีเขียวจางๆ บนมือเขา แล้วกล่าวออกมา

เซียวเฟิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจ แต่ตอนที่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ตั๊กแตนแสงเขียวก็มาถึงด้านหน้าของเขาแล้ว และมันขยับแขนทั้งสอง ทันใดนั้นเสียงก็ดังกึกก้องขึ้นมา

แสงเย็นสะท้านฟันลงมาจากด้านบน

พริบตาเดียวหุ่นอสูรตั๊กแตนก็ฟันไปสิบกว่าครั้ง การกระทำรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

ถึงแม้เซียวเฟิงจะถือดีมาโดยตลอดแต่พอเห็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขารีบร้อนหลบไปด้วย ทำท่ามือไปด้วย

มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” จากแขนเสื้อเขา ลูกศรแสงเขียวยาวหลายชุ่นก็พุ่งออกมา

เสียงดัง “เต๊ง!” “เต๊ง!” หุ่นอสูรแค่ดึงแขนกลับก็ฟันลูกศรแสงสีเขียวออกเป็นชิ้นๆ

แต่เซียวเฟิงก็อาศัยโอกาสนี้ขยับตัวหนีห่างจากหุ่นอสูร และเปลี่ยนท่ามือพร้อมกับหัวเราะแล้วกล่าวกับจินอวี่

“เด็กน้อย คราวนี้เจ้าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน วิชาหนามพิรุณ!”

คำพูดเพิ่งสิ้นสุด สถานที่ที่เขาเคยวิ่งผ่านก็มีแสงสีเขียวเปล่งออกมา แท่งแหลมสีดำขนาดเท่านิ้วมือได้แทงออกมาจากแผ่นหิน มีทั้งหมดร้อยกว่าแท่ง และมันพุ่งไปกลางวงกลมราวกับสายฝน

“นี่คือฝีมือของเจ้า ช่างน่าขันเสียจริง”

จินอวี่เห็นเช่นนี้กลับถอนหายใจกล่าวออกมา นิ้วมือนิ้วหนึ่งแตะไปยังหน้าผาก

เสียงดัง “ฟู่” หุ่นอสูรตั๊กแตนแสงเขียวตัวนั้นก็กลับมาอยู่ข้างกายเขา และมันกลางปีกบนหลังออกมาโอบจินอวี่ไว้และวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

และหนามสีดำเหล่านั้นพุ่งมายังด้านหน้าของเขาแล้ว

จินอวี่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้แต่ร่างกายเขากลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย เขาแค่ตั้งใจกระตุ้นหุ่นอสูรของตนเองอย่างต่อเนื่อง

เงาร่างสีเขียวหยุดในฉับพลัน!

ด้านข้างของจินอวี่มีหุ่นตั๊กแตนแบบเดียวกันโผล่ขึ้นมาอีกสี่ตัว แต่ละตัวคอยคุ้มกันในแต่ละด้าน และแขนทั้งสองของมันแค่ขยับก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านน่าสะพรึงกลัว และมันพุ่งไปโอบล้อมหนามสีดำไว้ พริบตาเดียวก็ตัดมันออกเป็นท่อนเล็กๆ

สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของเซียวเฟิงก็เคร่งขรึมลงทันที

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา