สรุปตอน ตอนที่ 49 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
ตอน ตอนที่ 49 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เซียวเฟิงตกใจเป็นอย่างมากจนไม่ทันแสดงวิชาป้องกันตัวใดๆ ทำได้แค่ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้วแสงสีเขียวก็ประกายออกมาที่แขนทั้งสองเพื่อป้องกันตัว
“หยุดนะ วิชาภูติพฤกษาของเจ้าเพิ่งจะฝึกขั้นที่สองได้สำเร็จ ไม่สามารถใช้ร่างกายป้องกันการโจมตีใดๆ ได้”
เสียงดัง “เต๊ง!” “เต๊ง!”
จูชื่อโผล่มายังด้านหน้าของเซียวเฟิงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม นิ้วของเขาขยับซ้ายขวาจัดการปัดแสงเย็นสะท้านออกไป
ไม่เพียงแต่เท่านี้ แม้แต่เจ้าหุ่นอสูรก็ถอยหลังไปหลายก้าวหลังจากเผชิญกับพลังอันแข็งแกร่ง
จินอวี่เห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายอันดุร้ายออกมา ตั๊กแตนแสงเขียวสองตัวที่อยู่ด้านหน้าเอาแขนถูกัน และคิดที่จะพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
แต่ในขณะนั้นก็มีเงาร่างปรากฏข้างกายเขา ต้าจื้อปรากฏกายขึ้นที่นั่น และตบไหล่เขาให้หยุดกระตุ้นหุ่นอสูร ในขณะเดียวกันก็ยิ้มกริ่มมองไปยังจูชื่อที่กำลังกล่าวออกมา
“รอบนี้พวกข้าก็ยอมแพ้ หนึ่งจิตหลายพลังช่างเหมาะสมกับวิชาหุ่นของนิกายพวกท่านมาก จากการแสดงออกของเขา เกรงว่าตัวเจ้าเองก็ควบคุมหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวได้ไม่เท่าเขา พวกเจ้าช่างหาผู้สืบทอดได้เหมาะสมยิ่งนัก” จูชื่อพินิจดูจินอวี่อีกครั้ง เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วค่อยกล่าวออกไป
นักพรตจงที่อยู่นอกวงกลมก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเช่นกัน
การแสดงออกของเซียวเฟิงเมื่อครู่นี่ไม่ใช่ว่าทำได้ไม่ดี เพียงแต่การควบคุมตั๊กแตนแสงเขียวของจินอวี่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ด้วยความรวดเร็วของเขาถ้าหากว่าลงมือโจมตีก่อน เกรงว่าคู่ต่อสู้ธรรมดาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะแสดงฝีมือ
หรือว่าการประลองในครั้งนี้ สาขาเก้าทารกของพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
นักพรตจงคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกขมขื่นในใจ หันหน้าไปมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ และนางก็รู้สึกประหลาดใจในทันที
ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจหรือตื่นตระหนกตกใจอย่างที่นางคิด แค่ยืนนิ่งสงบ ราวกับว่าการพ่ายแพ้ทั้งสองรอบไม่ได้มีผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย
“ไม่เลว ตอนนี้ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้นับว่าหายากยิ่งนัก การประลองรอบสุดท้ายเจ้าก็ไม่ต้องกดดันมากนัก ทำให้สุดพลังของเจ้าก็พอ!” จูชื่อนำเซียวเฟิงที่แสดงสีหน้าไม่พอใจเดินกลับมา พอเห็นหลิ่วหมิงไม่สะทกทะท้านเขาก็ตะลึงไปชั่วครู่ และกล่าวชมขึ้นมา
“รับทราบอาจารย์อาจู ข้าจะทำสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงโค้งคำนับตอบกลับไป
ตอนนี้ฝ่ายหุบเขาเก้าช่องก็มีเด็กหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งเดินออกมา อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี หน้าผากมีรอยแผลเป็นสีแดงยาวๆ อยู่เส้นหนึ่ง ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวสองเล่ม เมื่อเขาเดินไปยืนอยู่กลางวง ก็ทำให้คนรู้สึกถึงความมุทะลุดุดันและโหดร้ายของเขา
“กลิ่นไอแบบนี้…ไม่ถูกต้อง นี่คือร่างฝึกฝน ต้าจื้อ จงต้าซั่ง เขาเป็นศิษย์ของนิกายท่านจริงๆ หรือ?” พอนักพรตจงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของเด็กหนุ่มร่างกำยำก็กล่าวออกมาด้วยหน้าเปลี่ยนสี
“นักพรตจง วางใจเถอะ อูเฟยเป็นศิษย์ที่ข้ารับมาจากพีธีเปิดจิตวิญญาณในปีนั้น เขาอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งรับมือกับความเจ็บปวดในตอนทำพิธี และเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ไม่ถูกกดจนล้มลงไปบนพื้น ถึงแม้นิกายของเราจะมีชื่อเสียงในเรื่องการควบคุมหุ่น แต่ในนิกายมีเส้นทางของร่างฝึกให้เลือก ดูเหมือนว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะ” ผู้อาวุโสผมขาวลูบหนวดตัวเองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่ดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องนั้น ใครๆ ต่างก็มองออก
ร่างฝึกไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปจะสามารถเลือกได้ ไม่เพียงแต่จะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งทั้งยังต้อง ทนต่อความเจ็บปวดทรมาณที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ และผ่านการฝึกฝนที่ยาวนานหลากหลายรูปแบบแล้วถึงจะฝึกได้คนหนึ่ง
สำหรับศิษย์จิตวิญญาณระดับเดียวกันแล้ว ศิษย์ที่มีร่างฝึกจะมีพลังแข็งแกร่งกว่า แม้กระทั่งอาจารย์จิตวิญญาณที่มีร่างฝึกก็สามารถสำแดงอานุภาพพิเศษที่อาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถทำได้ ดังนั้นถึงแม้ร่างฝึกจะฝึกฝนได้ยาก แต่นิกายแต่ละนิกายยังคงคัดเลือกให้ศิษย์หลายคนฝึกฝนบนเส้นทางของร่างฝึกโดยเฉพาะ
ศิษย์ที่ต้าจื้อ ต้าซั่ง เลือกมาประลองในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายมาได้ไม่นาน แต่แต่ละคนนั้นล้วนมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นคงไม่เสนอวิธีการต่อสู้เพื่อแบ่งผลจิตวิญญาณ
จูชื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น ไม่เอ่ยปากกล่าวอะไรออกมา
ตอนแรกที่เขากับนักพรตจงเห็นท่าทีนิ่งสงบของหลิ่วหมิงทำให้เขาทั้งสองยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความหวังเหล่านั้นได้พังทลายลงหมดแล้ว
พอหลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอมุทะลุดุร้ายของเด็กหนุ่มร่างกำยำ คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แต่ครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ
พอเด็กหนุ่มร่างกำยำเห็นเท้าทั้งสองของหลิ่วหมิงแตะเข้ามาในวงกลม เขาก็แสดงสีหน้าเดือดดาลขึ้นมาทันที แขนทั้งสองดึงกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา ในขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถา แสงสีทองได้สะท้อนออกมาบนร่างของเขา และหลังจากที่มันพร่ามัว ร่างของเขาก็มีขนาดสูงใหญ่กว่าเดิมครึ่งหนึ่ง มือเท้าก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว ดูคล้ายกับตอนที่หลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชาปลุกพลังศักยภาพต่อสู้กับศัตรู
หลิ่วหมิวเห็นเช่นนี้ตาก็เป็นประกาย เขาก็เริ่มทำท่ามือร่ายคาถาในขณะเดียวกันก็มีไอสีดำม้วนตัวออกจากร่างเขาทันที
เด็กหนุ่มร่างกำยำคำรามออกมา กระบี่ยาวทั้งสองก็ควงหมุนอยู่ในมืออย่างบ้าระห่ำ เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงพื้นอย่างแรง กลายเป็นลมพายุพุ่งออกไป
เสียงดัง “ฟู่!”
ลูกไฟขนาดใหญ่กว่าปกติลูกหนึ่งพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียวก็ปะทะกับลมพายุที่พุ่งเข้ามา
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ต้าจื้อที่มองดูอยู่นอกวงหลุดปากกล่าวออกมา และต้าซั่งที่อยู่ด้านข้างกลับไหวตัวพุ่งเข้าไปในวงกลมแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อดับไฟบนร่างของเด็กหนุ่มร่างกำยำจนดับไป
แต่พลังของลูกไฟสองลูกก็มีอานุภาพใช่ย่อย ถึงแม้ต้าซั่งจะยื่นมือเข้ามาช่วยได้ทันแต่ร่างไหม้เกรียมของเด็กหนุ่มร่างกำยำก็สลบล้มลงไปกับพื้นแล้ว
“ดี ดีมาก คิดไม่ถึงว่าศิษย์ใหม่อย่างเจ้า จะสามารถควบคุมวิชากระสุนไฟได้ถึงระดับนี้ รอบนี้กลับแพ้อย่างสมบูรณ์ พลังเวทในร่างเจ้าคงผ่านกลั่นให้บริสุทธิ์มาแล้วสินะ มิเช่นนั้นศิษย์จิตวิญญาณธรรมดาคงไม่สามารถแสดงวิชากระสุนไฟได้มีอานุภาพเช่นนี้ สหายจู สหายจง ที่แท้พวกเจ้ายังแอบเก็บไม้ตายไว้” ต้าซั่งมองดูเด็กหนุ่มบนพื้นครู่หนึ่ง แววตาแสดงความเสียดายอย่างเจ็บปวดแล้วหันหน้ามองหลิ่วหมิงด้วยแววตาเยือกเย็น
“ฮ่าๆ สหายกล่าวเช่นนี้เท่ากับใส่ร้ายเราทั้งสองแล้ว ศิษย์ผู้นี้สำเร็จวิชากระสุนไฟถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกข้าสองคนเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน” พอเงาร่างคลื่นไหวข้างกายหลิ่วหมิง ร่างของจูชื่อก็ปรากฏออกมา เขายกมือขึ้นตบไหล่ของหลิ่วหมิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ
นักพรตจงที่ตามมาทีหลังก็แสดงสีหน้าดีใจเป็นพิเศษ
รอบนี้หลิ่วหมิงได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง ช่างเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก พวกเขามาครั้งนี้นับว่าไม่ต้องกลับไปมือเปล่าแล้ว มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ผลจิตวิญญาณ ต่อไปสาขาเก้าทารกคงไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าต้าจื้อ ต้าซั่งอีก
สำหรับการฝึกวิชากระสุนไฟสำเร็จขั้นต้นของหลิ่วหมิงกับเรื่องพลังเวทบริสุทธิ์หรือไม่นั้น เมื่อเทียบกันแล้วล้วนถือเป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น
ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองดูหลิ่วหมิงต่างก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
“เอาล่ะ พวกข้าชนะสองในสาม พวกเจ้าสามารถเก็บผลจิตวิญญาณได้หนึ่งในสามส่วน แต่ว่าข้ายังมีข้อเสนออีกอย่าง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองสนใจที่จะประลองอีกรอบไหม” ต้าจื้อให้ศิษย์ในนิกายอุ้มเด็กหนุ่มร่างกำยำออกจากวงกลม แนะนำวิธีป้อนยารักษาเสร็จสรรพ เขามองหน้าหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นมา
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ใบหน้าดีใจของจูชื่อหายไปเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเข้ามาแทน
นักพรตจงก็เดินเข้ามายืนข้างจูชื่อแล้วมองฝ่ายตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อ
“ง่ายมาก ข้าดูพลังของศิษย์คนนี้ก็ไม่เลว ให้เขาต่อสู้กับอวี่เอ๋อร์สักรอบเป็นไง! ถ้าหากอวี่เอ๋อร์ชนะล่ะก็ผลจิตวิญญาณของพวกเจ้าก็ทิ้งไว้ให้พวกข้า แต่ถ้าศิษย์ของพวกเจ้าชนะผลจิตวิญญาณสองส่วนของพวกข้าจะเป็นของพวกเจ้าทั้งหมด สหายทั้งสองมีความเห็นว่าอย่างไร?” ต้าจื้อกับต้าซั่งสบกันครู่หนึ่ง แล้วผู้อาวุโสผมขาวก็ค่อยๆ กล่าวขึ้นมา
“อะไรนะ นำผลจิตวิญญาณสองส่วนมาเดิมพันกับผลจิตวิญญาณหนึ่งส่วน!” จูชื่อได้ยินก็ใจเต้นระทึก
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา