“อ้อ! ในเมื่อมีจั้งมีความมั่นใจเช่นนี้ ก็ลองดูกันเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ครุ่นคิดทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเองก็พยักหน้าตกลง จากนั้นก็ล้วงแขนเสื้อด้วยความดีใจ และควักเครื่องมือวางค่ายออกมา เพื่อลองเก็บเตาหลอมนี้
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังโครมครามบนอากาศที่สูงจากหลุมยักษ์หลายร้อยจั้ง และคลื่นอากาศก็สั่นสะเทือนขึ้นมา แสงสีเขียวเจิดจ้าปรากฎออกมาทันที มีอักขระสีเขียวจำนวนมากลอยออกมา ชั่วเวลาแค่สองอึดใจ มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระที่มีขนาดหลายจั้ง
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจมาก และทำท่าระแวดระวังพร้อมกันกันโดยมิได้นัดหมาย
พอจั้งเสวียนคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่ยาวสีเหลืองก็ปรากฏบนมือ
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ลอยออกไป และกลายเป็นหมอกทรายรายล้อมอยู่รอบตัว
ขณะนั้นเอง ค่ายกลอักขระกลางอากาศก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างมนุษย์หลายเงาที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายปรากฏขึ้นมาตรงกลาง
คนเหล่านี้ล้วนอกกว้างไหล่ผึ่งผายเอวกลม ใบหน้าพร่ามัวไปทั้งแถบ มองเห็นอวัยวะบนใบหน้าลางๆ เท่านั้น ทั้งยังสวมเสื้อเกราะสีเขียว บนนั้นมีรูปมังกร พยัคฆ์ และอสูรประหลาดตัวอื่นๆ สลักอยู่ บริเวณหน้าอกของเสื้อเกราะแวววาว ก็มีอักขระขนาดใหญ่ประทับอยู่ ‘ยันต์’ และยังเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา
“นักรบคุมกฎ เป็นคนของหอดำเนินการ!” พอจั้งเสวียนเห็นคนเหล่านี้ชัดเจน ก็หลุดปากส่งเสียงออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ลดกระบี่ยาวสีเหลืองในมือลงโดยไม่รู้ตัว
“นักรบยันต์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา แต่หมอกที่ลอยวนอยู่ก็ลดช้าลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์สายนอกของสาขาห่านฟ้าสินะ ชื่ออะไรกัน? ไม่ต้องลนลานไป พวกข้าเป็นทูตหอคุมกฎ เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ในแดนอบอ้าวค่อนข้างพิเศษมาก จึงต้องอาศัยร่างนักรบยันต์แหวกมิติเข้ามา” นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ามองหลิ่วหมิงทั้งสองทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อประกอบกับใบหน้าอันพร่ามัวของพวกเขาแล้ว จึงดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
และพอน้ำเสียงของนักรบยันต์ผู้นี้สิ้นสุดลง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายรูปสี่เหลี่ยมออกมา รูปภาพบนนั้นเหมือนกับที่หลิ่วหมิงเคยเห็นในตอนที่เข้านิกาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหอคุมกฎนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ที่หอคุมกฎ ข้าน้อยจั้งเสวียน ด้านข้างนี้คือพี่หลิ่วหมิง การทดสอบในครั้งนี้ แดนอบอ้าวเปลี่ยนไปไม่น้อย อัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงอยู่ๆ ก็สังหารอย่างบ้าระห่ำ ตราหยกส่งตัวของพวกเราก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้ศิษย์สายนอกเสียชีวิตไม่น้อย ไม่ทราบว่าทางนิกายมีการเตรียมการอื่นๆ สำหรับการทดสอบต่อไปนี้อย่างไร?” จั้งเสวียนกวาดสายตามองแผ่นป้าย และกล่าวอย่างนอบน้อม
แม้หลิ่วหมิงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็คุมมือคารวะเช่นกัน
“จั้งเสวียน หลิ่วหมิง……อืม! ในบัญชีรายชื่อมีชื่อของพวกเจ้าอยู่จริงๆ พวกเจ้ารอสักครู่!”
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็เก็บแผ่นป้ายเข้าไป และหยิบสิ่งของอีกอย่างออกมา เขาพลิกไปสองสามหน้าอย่างรวดเร็ว มันดูคล้ายกับเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ากล่าว
หลังจากนั้นก็เก็บคัมภีร์เข้าไป พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ก็มีสิ่งของอย่างหนึ่งโผล่ออกมา และแสงสีเขียวก็ทำให้ผู้คนมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจน
พอนักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าปล่อยพลังออกมา แสงสีเขียวในมือก็สว่างขึ้นในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน บนพื้นที่เตาหลอมตั้งอยู่ก็สั่นสะเทือนโครมคราม อักขระสีเขียวจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นบริเวณนั้น และก่อตัวเป็นค่ายกลแสงสีเขียวรุบหรู่ตรงด้านล่างของเตาหลอมยักษ์
นักรบยันต์ที่เหลือก็พากันร่ายคาถา และปล่อยพลังสีต่างๆ เข้าไปในแสงสีเขียวบนมือคนที่เป็นหัวหน้า
“ฟู่!”
ลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากค่ายกลแสง พริบตาเดียวก็ปกคลุมเตาหลอมยักษ์ไว้
ท่ามกลางลำแสง เตาหลอมยักษ์สีแดงค่อยๆ ลอยขึ้นมา และเปลวไฟสามสีที่พ่นออกจากปากเตาหลอมกลับหายไปอย่างน่าประหลาดใจ
ที่แท้นักรบยันต์เหล่านี้ ก็กำลังเก็บของล้ำค่านี้อยู่
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หากก่อนหน้านั้นฝ่ายตรงข้ามไม่นำป้ายหอคุมกฎออกมา เกรงว่าพวกเขาคงจะลงมือขัดขวางอย่างแน่นอน
แต่ขณะนี้ หลังจากทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้ว ต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะเขียวที่เป็นหัวหน้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด พอโยนสิ่งของในมือออกไปเบาๆ กลุ่มแสงสีเขียวก็ลอยอยู่กลางอากาศ และนิ้วมือทั้งสิบก็คลื่นไหวอย่างรวดเร็ว และทำท่ามือต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อปล่อยอักขระลึกลับออกไป
ดูเหมือนเตาหลอมสีแดงจะถูกเรียก มันค่อยๆ ลอยไปยังกลุ่มแสงสีเขียวกลางอากาศ หลังจากพร่ามัวครู่หนึ่งแล้ว ก็จมหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ากวักมืออีกครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งกลับมาในมือของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา