ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 519

สรุปบท ตอนที่ 519: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 519 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 519 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 519 ต่อสู้กับหลานสี่อีกครั้ง
ตอนที่ 519 ต่อสู้กับหลานสี่อีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองปีผ่านไป

ขณะที่หลิ่วหมิงนำโอสถผลึกเย็นที่มีลายโอสถสีเงินจางๆ อยู่บนพื้นผิวสองเส้นออกจากเตาหลอมนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ

นี่คือโอสถผลึกเย็นระดับสูงเม็ดแรกที่เขาปรุงออกมาได้ในสองปีมานี้ แม้จะเป็นแค่โอสถธรรมดาเม็ดหนึ่งที่มีลายโอสถแค่หนึ่งเส้น แต่เทียบกับโอสถระดับกลางความบริสุทธิ์ต่ำ ที่ปรุงขึ้นมาในสองปีที่ผ่านมาแล้ว ถือว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

แต่อัตราความสำเร็จในหลอมโอสถผลึกเย็นยังคงไม่ถึงสามในสิบส่วน

สามปีต่อมา หลังผ่านการปรุงโอสถอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดอัตราความสำเร็จในการหลอมโอสถผลึกเย็น ก็สูงขึ้นเจ็ดส่วนขึ้นไป ทั้งยังโชคดีปรุงโอสถพสุธาที่มีความบริสุทธิ์แปดส่วนขึ้นไปได้เป็นบางครั้ง

การปรุงโอสถที่มีอัตราความสำเร็จสูงเช่นนี้ หากอยู่ในโลกภายนอก เกรงว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถจำนวนมาก คงจะรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดอย่างแน่นอน

เพราะมีไม่กี่คนที่ยอมเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อฝึกปรุงโอสถชนิดนี้ ต่อให้มีก็ไม่สามารถราบรวมวัตถุดิบมาได้มากขนาดนี้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะหยุดการฝึกฝนแต่อย่างใด

แต่หลายเดือนต่อมา หลิ่วหมิงค้นพบว่าแม้เขาจะปรุงโอสถเหมือนเดิม แต่ไม่ว่าอัตราความสำเร็จหรือการยกระดับคุณภาพโอสถกลับช้าลงอย่างชัดเจน

หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขาก็คาดเดาได้ว่าคงเผชิญกับปัญหาคอขวดเข้าแล้ว หากฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปจะเปลืองแรงเสียเวลาเปล่าๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจวางเรื่องโอสถผลึกเย็นไว้ก่อน และเริ่มลองปรุงโอสถจินหยวนตามที่บันทึกไว้ในตำรา

หลังจากมีประสบการณ์การปรุงโอสถผลึกเย็นก่อนหน้ามาแล้ว ขั้นตอนการปรุงโอสถจินหยวนในครั้งนี้จึงราบรื่นขึ้นมามาก เนื่องจากเป็นโอสถระดับของเหลวเหมือนกัน วิธีการปรุงจึงคล้ายกันเล็กน้อย

ผ่านไปเก้าเดือน โอสถจินหยวนระดับธรรมดาที่มีลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ หนึ่งเส้นอยู่บนพื้นผิว ก็ถูกปรุงออกมา

หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถสีทองอร่ามในมือด้วยสีหน้าลังเล

เนื่องจากโอสถจินหยวนใช้แก่นผลึกของปีศาจอสูรเป็นวัตถุดิบหลัก ในระหว่างการหลอมแก่นผลึกของปีศาจอสูรค่อนข้างใช้เวลามาก การปรุงโอสถหนึ่งเตาต้องใช้เวลาราวๆ สามวัน เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของมันน้อยกว่าโอสถผลึกเย็นมาก

และอัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถจินหยวน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณภาพแก่นบริสุทธิ์ของอสูรจินหยวนมาก

เขาซื้อแก่นบริสุทธิ์จินหยวนมาทั้งหมดห้าชุด สี่ในห้าชุดเป็นแก่นบริสุทธิ์ของปีศาจจินหยวนระดับของเหลวขั้นต้น ส่วนอีกชุดเป็นระดับของเหลวขั้นกลาง

ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้ในก่อนหน้า โอสถจินหยวนที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นกลาง มีอัตราความสำเร็จราวๆ สามส่วนขึ้นไป หลังจากฝึกฝนซ้ำๆ หลายครั้งก็สูงขึ้นห้าหกส่วน

และโอสถที่ปรุงขึ้นมาจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นต้น ก็มีอัตราความสำเร็จไม่ถึงหนึ่งส่วน หลังผ่านการฝึกฝนมากว่าครึ่งปี อัตราความสำเร็จก็ยังคงวนอยู่ที่สองสามส่วนเท่านั้น

นอกจากนี้ ระดับของโอสถจินหยวนที่ปรุงมาจากแก่นบริสุทธิ์ต่างระดับกัน ก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก

โอสถจิตหยวนที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นต้น แม้จะกลายเป็นโอสถ แต่ก็เป็นโอสถระดับต่ำที่มีความบริสุทธิ์แค่สามสี่ส่วน ซึ่งปรุงเป็นโอสถระดับกลางที่มีความบริสุทธิ์ห้าหกส่วนได้เป็นครั้งคราว

และโอสถที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นกลาง โดยทั่วไปมีความบริสุทธิ์ประมาณห้าหกส่วน และยังปรุงเป็นโอสถระดับสูงได้เป็นครั้งคราว

ดูท่าหากจะปรุงโอสถระดับของเหลวที่มีความบริสุทธิ์สูง วัตถุดิบที่ใช้ก็มีความสำคัญเช่นกัน และจะเพิ่มต้นทุนวัตถุดิบด้วย แต่ก็อย่างไรก็ตาม มันยังคงเพิ่มมูลค่าของโอสถเป็นอย่างมาก

โดยทั่วไปแล้ว โอสถระดับสูงไม่ค่อยมีขายในตลาด ผู้คนต่างก็อยากได้

หลังจากหลิ่งหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเก็บโอสถสีทองเข้าไปทันที หลังจากเหยียดแขนทั้งสองออกไปเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปทางแมงป่องกระดูกกับหัวบิน

หน้ากำแพงหมอกด้านหนึ่ง หัวบินที่มีไอดำพวยพุ่งรอบตัวกำลังพ่นเปลวไฟสีเขียวโจมตีด้านหน้าไม่หยุด

ไม่รู้ว่ากำแพงหมอกในห้องว่างเปล่าลึกลับเป็นชั้นจำกัดแบบใดกัน แต่ภายใต้การโจมอย่างต่อเนื่องของเปลวไฟสีเขียว ก็มีคลื่นพลังเวทแผ่กระจายบนพื้นผิวอย่างรุนแรง และกลายเป็นชั้นระลอกคลื่นกลางอากาศ จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปรอบด้าน

พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา หัวบินก็ส่ายหัวกลางอากาศหนึ่งที ดวงตาสีแดงเป็นประกาย แสงสีเขียวระยิบระยับบนพื้นผิว เส้นผมบนหัวตั้งตรงขึ้นมา และพุ่งยิงใส่กำแพงหมอกตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากมีเสียงดัง “ปังๆ!” ก็ปรากฏรูเล็กๆ บนกำแพงหมอกสีเทาเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ามันแหลมคมกว่าก่อนเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับเล็กน้อย แต่ไม่นานรูจำนวนมากก็ผสานกลับมาดังเดิม

“ทำได้ไม่เลว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวชมเชยเบาๆ

หัวบินได้ยินก็บินวนรอบตัวหลิ่วหมิงด้วยความดีใจ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้

หัวบินในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีเสียงคล้ายเด็กน้อย แม้แต่นิสัยก็ใกล้เคียงเล็กน้อย

เขาโบกมือบ่งบอกให้มันฝึกฝนต่อ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปทางแมงป่องกระดูก

“นายท่าน…” แมงป่องกระดูกแตกต่างจากหัวบิน พอมันเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็กระโดดขึ้นบนไหล่ของเขาในทันที จากนั้นก็ใช้ก้ามทั้งคู่ถูกเสื้อของเขา

สำหรับท่าทีสนิมสนมของแมงป่องกระดูกนั้น หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด หลังจากยื่นมือไปลูบหลังเย็นๆ ของมันแล้ว ก็สั่งให้มันแสดงผลลัพธ์การฝึกฝนในระยะนี้ให้ดูหน่อย

แมงป่องกระดูกกระโดดลงจากหลังหลิ่วหมิงในทันที แสงสีเงินเปล่งประกายบนตัว ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมาสิบกว่าจั้งราวกับว่าถูกเป่าลม

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ร่นถอยออกไปสองก้าว และตั้งหลักมองดูอย่างละเอียด

และขณะนี้ การฝึกฝนปรุงโอสถชนิดนี้ ก็มาถึงคอขวดแล้วเช่นกัน ไม่ว่าหลังจากนั้นอีกหลายเดือนเขาจะฝึกฝนแค่ไหน กลับยกระดับวิชานี้ได้น้อยมาก

วันนี้ หลังจากเขาหยุดปรุงโอสถอีกครั้ง และค้นพบว่าไม่มีการยกระดับใดๆ แล้ว เขาก็ละทิ้งแผนการปรุงโอสถทันที

เขาชี้ไปที่เตาหลอมเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีเงินตรงหน้าก็ดับลง และลอยขึ้นกลางอากาศ หลังจากหมุนวนติ้วๆ มันก็ลดขนาดลงเหลือชุ่นกว่าๆ และพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ

หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็หายวับไปอยู่ตรงหน้าศิลาหุนเทียนอย่างรวดเร็ว

ยังมีเวลาหนึ่งถึงสองปีก่อนที่จะไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ ตอนนี้เขาควรจะใช้ประโยชน์จาก ‘ดวงตามายาปีศาจ’ แล้ว

ของสิ่งนี้สามารถเลียนแบบเหตุการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูตัวฉกาจที่เคยเผชิญมา หากเข้าไปฝึกฝนให้มากๆ ล่ะก็ อาจจะทำให้ความสามารถในการต่อสู้จริงของเขาเพิ่มขึ้นมาก็ได้

เพราะพลังของผู้ฝึกฝนคนหนึ่งจะเป็นเช่นใดนั้น ไม่อาจดูแค่ระดับการฝึกฝนได้ ยังต้องดูความสามารถในการตอบสนองในขณะที่ทำการต่อสู้ด้วย

หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจแล้ว ก็ยื่นมือไปแตะภาพดวงตาตั้งตรงสีดำบนศิลาหุนเทียนเบาๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และส่งพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย

ขณะที่ศิลาหุนเทียนสั่นสะเทือนเบาๆ นั้น ดวงตาตั้งตรงสีดำก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เผยให้เห็นลูกตาสีเงินของมัน

ดวงตานี้ค่อยๆ ขยับไปมา จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า

หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งก่อนแล้ว หลิ่วหมิงก็จ้องมองไปที่ลูกตาสีดำทันที ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “ตู้ม!” ในจิตรับรู้ของเขา ภาพรอบด้านพร่ามัว และตัวเขาก็มาปรากฏตัวในถ้ำที่ผนึกหัวปีศาจยักษ์ไว้บนแท่นบูชาแห่งนั้น

และห่างจากตรงหน้าเขาไปไม่ไกล ย่อมเป็นสายตาอันโหดเหี้ยมที่จ้องมองเขาอยู่ ซึ่งก็คือหลานสี่ที่กลายร่างเป็นปีศาจ และมีลวดลายสีดำปกคลุมเต็มตัวนั่นเอง!

เนื่องจากข้อจำกัดของดวงตามายาปีศาจ ภาพมายาที่สร้างขึ้นมาจึงเป็นแค่ฉากการต่อสู้ที่เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น ตอนนี้หลิ่วหมิงมีตัวเลือกสองตัวคือ ราชาปีศาจสมุทรกับปีศาจหลานสี่

การฝึกฝนของราชาปีศาจสมุทรบรรลุถึงระดับแก่นแท้แล้ว ซึ่งห่างจากระดับของเขาไปมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าพวกเขาทั้งสองทำการแลกมือกัน หลิ่วหมิงเพียงแค่ทำให้ตัวอ่อนกระบี่ระเบิด ถึงรับมือเขาไว้ได้

เมื่อเทียบกันแล้ว แม้การต่อสู้กับปีศาจหลานสี่จะผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ และฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณใดๆ เพียงแค่อาศัยร่างที่กลายเป็นปีศาจกับความเร็ว ก็โจมตีเขาจนพ่ายแพ้ได้ สำหรับหลิ่วหมิงที่มีพลังเวทกับกายเนื้อที่แข็งขึ้นมาไม่น้อยแล้ว หลานสี่เป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมพอดี

และพลังของหลานสี่หลังจากกลายร่างเป็นปีศาจ เกรงว่าต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางถึงขั้นปลายโดยทั่วไปเผชิญหน้ากับเขา ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัสก็อาจตายได้

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา