ผู้อาวุโสรูร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ ใบหน้าดูน่าเกรงขามมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง หลังจากจ้องมองทั้งสองทีหนึ่งแล้ว ก็คารวะหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ท่านทูต ผู้น้อยเหล่านี้มีความรู้ตื้นเขิน หากล่วงเกินอันใดต้องขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ขอถามหน่อยว่า ท่านใช่ไคหยางที่เป็นหัวหน้าตระกูลสวี่หรือไม่?” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หลิ่วหมิงย่อมไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
“ท่านทูตมีสายหลักแหลมยิ่งนัก ข้าก็คือหัวหน้าตระกูลสวี่” ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่มีใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา และรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เขาคิดไม่ออกว่าคนตรงหน้าดูสถานะเขาออกได้อย่างไร
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวกับน้ำเสียงตำหนิศิษย์ตระกูลสวี่ทั้งสอง ไหนเลยเขาจะคาดเดาสถานะของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ส่วนสถานะศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเขา ฝ่ายตรงข้ามคงได้รับข่าวที่มีคนรับภารกิจที่ตระกูลสวี่ประกาศไป แม้กระทั่งอาจจะรู้รูปร่างของเขามาบ้างแล้ว มิเช่นนั้นไหนเลยจะออกหน้ามารับอย่างรวดเร็ว และง่ายดายเช่นนี้
ขณะนี้ ชายหนุ่มบนหลังอินทรีทั้งสองก็รีบทำการคารวะด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และภายใต้การออกคำสั่งของผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองก็ไปรายงานข่าวบนยอดเขาตรงด้านหลัง
ไม่นาน ชั้นจำกัดนอกยอดเขาก็สั่นสะเทือน และค่อยๆ เปิดทางออกมา
“เชิญท่านฑูตเข้าไปพูดคุยกันในป้อมก่อนเถอะ!” ซวี่ไคหยางเห็นเช่นนี้ ก็หยุดคำพูดทักทายปราศรัยทันที และผายมือเป็นการเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงเองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้าแล้วก็เหาะตามไปทันที
หลังจากเหาะไปได้หลายสิบจั้ง แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายตรงหน้า เผยให้เห็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นป้อมโบราณสูงใหญ่แห่งหนึ่ง
พอมองออกไป ป้อมโบราณมีความสูงมากกว่าสามสิบจั้ง รอบด้านมีกลุ่มสิ่งก่อสร้างเป็นชั้นๆ ชั้นนอกสุดเป็นกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบยอดเขาส่วนใหญ่ไว้
“สถานที่ของตระกูลเราโกโรโกโสมาก ขอท่านทูตอย่าได้ถือสา” สวี่ไคหยางนำหลิ่วหมิงเหาะไปยังห้องด้านในของป้อมโบราณ ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมา
“หัวหน้าตระกูลสวี่เกรงใจไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างราบเรียบ
ไม่นาน พอทั้งสองร่อนลงบนพื้น ก็มีผู้อาวุโสชุดเหลืองหลายท่านยืนรอต้อนรับแล้ว
“ท่านนี้คงเป็นท่านทูตจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ ข้าน้อยสวี่อวิ๋นเจิน เป็นผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูล ครั้งนี้ไม่ได้ออกไปรับ ต้องขออภัยด้วย” คนที่พูดออกมานี้ เป็นผู้อาวุโสผอมแห้งที่มีหนวดและผมเป็นสีเหลือง ดูเหมือนว่าผู้คนที่อยู่ด้านหลัง จะให้เขาเป็นผู้นำ
“ทุกท่านเกรงใจไปแล้ว ข้าน้อยหลิ่วหมิง ได้รับคำสั่งจากนิกายให้มาทำภารกิจที่ตระกูลสวี่ไหว้วานให้สำเร็จ” หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง และกุมมือคารวะกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็โยนป้ายประจำตัวออกไป
”ที่แท้ท่านทูตหลิ่วก็เป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ อนาคตภายหน้าจะต้องกว้างไกล การบรรลุระดับผลึกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว มาๆ ข้าน้อยจะแนะนำให้ท่านฑูตรู้จักสักหน่อย ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลสวี่เรา” ผู้อาวุโสผอมแห้งรับป้ายมาสำรวจดูเล็กน้อย ทันใดนั้น ดวงตาเหลืองซีดก็เป็นประกายออกมา และหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าว
จากนั้นเขากับสวี่ไคหยางก็เริ่มแนะนำผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น
ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้อาวุโสผอมแห้งมีระดับการฝึกฝนสูงสุด ซึ่งอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงสวี่ไคหยางล้วนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น
แม้คนเหล่านี้จะมีท่าทีอ่อนโยน แต่พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่า นอกจากหัวหน้าตระกูลสวี่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีเลือดลมไม่คงที่ ทั้งยังมีไอดำโผล่ออกมาบนใบหน้าอย่างรำไร เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากพูดจากันเป็นพิธีรีตองแล้ว หลิ่วหมิงก็เดินเข้าไปในป้อมโบราณท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้อาวุโสเหล่านี้
หลังจากคนเหล่านี้แยกไปนั่งตามตำแหน่งแล้ว หญิงรับใช้ก็รีบยกชามาทันที
“นี่คือ ‘ชาน้ำค้างเหลือง’ เป็นผลิตผลพิเศษของเขาชังหมาน แม้จะไม่ใช่ชาระดับสูงอะไร แต่ก็ยังนับว่าหวานสดชื่นละมุนละไมยิ่งนัก รสอร่อยติดลิ้นนาน ท่านทูตลองจิบดู” หัวหน้าตระกูลสวี่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชา ค่อยๆ ดื่มก็ได้ แต่ในภารกิจนิกายบอกว่ามีปีศาจร้ายปรากฏตัวบริเวณนี้สองตัว ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นเช่นไร?” หลิ่วหมิงยกชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากออกมา
พอคนตระกูลสวี่ที่อยู่ในที่นั้นได้ยินคำถามเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ
“นึกไม่ถึงว่าท่านฑูตก็เป็นคนใจร้อนเช่นกัน ความจริงท่านไม่ถาม ข้าน้อยก็ต้องพูดอยู่ดี” ผู้อาวุโสผอมแห้งเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
”เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เดิมทีตระกูลสวี่เรามีสายแร่แห่งหนึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเขาชังหมาน ร้อยกว่าปีมานี้ก็ขุดหินแร่ทั่วไปตามปกติ และไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แต่สองเดือนก่อน ขณะที่ศิษย์ในตระกูลสองคนรับคำสั่งไปตรวจตรานั้น กลับหายตัวไปในแหล่งแร่ พวกเราส่งคนไปหาอยู่หลายวันก็หาไม่พบ ตอนแรกก็คิดว่าพวกเขาคงไปสถานที่อื่น จึงไม่ได้ระมัดระวังมากนัก”
“แต่ว่าหลายวันต่อมา มีศิษย์รุ่นหลังในตระกูลหายตัวไปในเขตแร่อีกสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย เรื่องนี้จึงสะเทือนใจพวกเรามาก หลังจากตรวจหาไปหนึ่งรอบ ก็ค้นพบปีศาจระดับของเหลวขั้นกลางสองตัวที่อยู่ในส่วนลึกของหลุมแร่ มันฉวยโอกาสดูดพลังชีวิตของศิษย์เหล่านั้น ตระกูลสวี่ย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงรวบรวมพลังคนจำนวนมากไปปราบปราม ตอนนั้นข้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย น่าเสียดายที่ปีศาจสองตัวนี้ร้ายกาจเกินไป พอแลกมือกับมัน พวกข้าต่างก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ พวกข้าได้รวมพลังกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของตระกูล จึงสามารถหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก” พอผู้อาวุโสผอมแห้งกล่าวถึงจุดนี้ คนตระกูลสวี่ต่างก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา